ลูกา 9
9
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวกทั้งสิบสองก่อนออกไปประกาศ
1ครั้นแล้วพระเยซูจึงเรียกอัครทูตทั้งสิบสองมา เพื่อรับอานุภาพและสิทธิอำนาจในการขับไล่มารทั้งปวง รวมถึงการรักษาโรคต่างๆ 2และพระองค์ส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนป่วย 3พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำของติดตัวในการเดินทางเลย เช่นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงินทอง และเสื้อสำรองตัวใน 4เมื่อเข้าไปในบ้านใครก็จงอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกไปจากเมือง 5ถ้าไม่มีผู้ใดต้อนรับ ก็จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าเจ้าเวลาที่ไปจากเมืองนั้น เพื่อแสดงถึงความผิดของเขาว่า พระเจ้าจะลงโทษพวกเขา” 6ดังนั้นสาวกจึงไปตามหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกแห่งหน
7เมื่อเฮโรดผู้ปกครองแคว้นได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็รู้สึกงุนงง เพราะมีคำเล่าขานว่ายอห์นฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 8บ้างก็พูดว่า เอลียาห์มาปรากฏ และบ้างก็พูดว่าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าท่านหนึ่งในสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก 9เฮโรดกล่าวว่า “เขาคือยอห์นที่เราสั่งตัดหัว แล้วคนที่เราได้ยินเรื่องของเขานี้คือผู้ใด” แล้วเฮโรดเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะได้พบพระเยซู
มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว
10หลังจากที่อัครทูตเดินทางกลับมาแล้ว ก็ได้รายงานการปฏิบัติงานของเขากับพระเยซู แล้วพระองค์ก็พาพวกเขาไปกันตามลำพังถึงเมืองเบธไซดา 11ฝูงชนที่ทราบเรื่องก็ตามพระองค์ไป พระเยซูต้อนรับพวกเขา และกล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า ทั้งยังรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการรักษา
12ครั้นใกล้เวลาเย็น อัครทูตทั้งสิบสองมาหาพระองค์และบอกว่า “ปล่อยให้ผู้คนไปตามหมู่บ้านใกล้เคียงและชนบท เพื่อหาอาหารและที่พักเถิด เพราะที่นี่เป็นที่กันดาร” 13พระองค์ตอบว่า “พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” เหล่าสาวกพูดว่า “เรามีเพียงขนมปัง 5 ก้อนกับปลาอีก 2 ตัวเท่านั้น นอกจากว่าเราจะไปซื้ออาหารมาให้คนเหล่านี้” 14มีชายประมาณ 5,000 คนที่นั่น แต่พระองค์กล่าวกับสาวกว่า “จงให้คนนั่งลงรวมเป็นกลุ่มๆ ละประมาณ 50 คน” 15พวกสาวกก็ทำตาม โดยให้ทุกคนนั่งลง 16พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวขอบคุณพระเจ้า และบิขนมปังให้กับพวกสาวกเพื่อแจกแก่ผู้คน 17พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ และสามารถรวบรวมอาหารที่เหลือได้ 12 ตะกร้า
บุตรมนุษย์เป็นใคร
18ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ถามบรรดาสาวกที่อยู่ด้วยว่า “ฝูงชนพูดกันว่าเราเป็นใคร” 19สาวกตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างพูดว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่า เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจากสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก” 20พระองค์ถามว่า “แต่พวกเจ้าพูดว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “พระคริสต์ของพระเจ้า”
21พระเยซูกำชับพวกเขาไม่ให้บอกใครๆ 22พระองค์กล่าวว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และพวกผู้ใหญ่ บรรดามหาปุโรหิต และอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจะไม่ยอมรับ บุตรมนุษย์จะถูกประหารชีวิตและ 3 วันต่อมาจะฟื้นคืนชีวิต”
23แล้วพระองค์กล่าวกับทุกคนที่นั่นว่า “ถ้าใครปรารถนาที่จะตามเรามาจะต้องไม่เห็นแก่ตนเอง เขาจะแบกไม้กางเขนของตนเป็นประจำทุกวันและติดตามเรา 24เพราะใครก็ตามที่ต้องการช่วยชีวิตของตนให้รอดจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตของเขาเพื่อเราก็จะมีชีวิตที่รอดพ้น 25จะมีประโยชน์อะไร หากคนหนึ่งได้ทั้งโลกมาเป็นของตน แต่ต้องสูญเสียชีวิตของเขาไป 26ใครก็ตามที่มีความอายเพราะเราและคำพูดของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะเขา ในเวลาที่ท่านมาด้วยสง่าราศีของท่าน ของพระบิดาและของบรรดาทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ 27เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้า”
พระเยซู โมเสส และเอลียาห์
28หลังจากที่พระเยซูกล่าวสิ่งนี้ได้ประมาณ 8 วันก็พาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาด้วยเพื่ออธิษฐาน 29ขณะที่พระองค์อธิษฐานอยู่ ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และเสื้อตัวนอกที่สวมก็บังเกิดขาวประกายเจิดจ้า 30มีชาย 2 คนกำลังสนทนาอยู่กับพระองค์คือโมเสสและเอลียาห์ 31เขาทั้งสองปรากฏตัวด้วยสง่าราศีที่รุ่งโรจน์ และกำลังสนทนากันถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งใกล้ถึงเวลาที่จะกระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นที่เมืองเยรูซาเล็ม 32เปโตรและสาวกอีก 2 คนที่ติดตามมาด้วยกำลังเคลิ้ม แต่เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นพระสง่าราศีของพระเยซู และชาย 2 คนนั้นก็ยืนอยู่ด้วย 33ขณะที่ชายทั้งสองกำลังจากไป เปโตรพูดกับพระเยซูโดยไม่รู้สึกตัวว่า “นายท่าน ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสส และกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” 34ขณะที่กำลังพูด เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน ณ ที่นั้นไว้ จนต่างก็เกิดความตระหนกยิ่ง 35ทั้งมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา คือผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว จงฟังท่านเถิด” 36สิ้นเสียงนั้นแล้วสาวกทั้งสามก็พบพระเยซูแต่เพียงลำพัง และพวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้โดยไม่แพร่งพรายกับผู้ใดในเวลานั้นว่า พวกเขาได้พบอะไรมาบ้าง
พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวเด็ก
37ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระองค์และเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาก็พบว่า มีผู้คนมากมายมารอพบพระองค์ 38ชายคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนขึ้นว่า “อาจารย์ ขอท่านโปรดดูลูกชายของข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น 39มีวิญญาณเข้าสิงเขา ทำให้กรีดร้องดังทันทีทันใด แล้วเขาจะชักจนน้ำลายฟูมปาก มันทำให้เขาล้มลุกคลุกคลาน และแทบจะไม่ได้ละไปจากร่างของเขาเลย 40ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนให้สาวกของท่านขับไล่มันไปเสีย แต่พวกเขาทำไม่ได้” 41พระเยซูตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ และบิดเบือนเสียจริง เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้า และทนต่อเจ้าไปนานสักเท่าไร จงนำตัวลูกชายของเจ้ามาที่นี่เถิด” 42ขณะที่เด็กกำลังเดินมา มารก็ทำให้เขาล้มลงกับพื้นและชัก แต่พระเยซูห้ามวิญญาณร้าย และรักษาเด็กจนหายดี แล้วส่งกลับไปหาพ่อของเขา 43ฝูงชนต่างอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจกับสิ่งทั้งปวงที่พระเยซูกระทำ พระองค์กล่าวกับพวกสาวกว่า 44“จงฟังเราให้ดี จวนเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์” 45แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าวถึง เขาไม่อาจเห็นความหมายที่แฝงอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามถึงความนัยนั้น
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
46พวกสาวกเริ่มถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจำนวนพวกเขา 47พระเยซูทราบถึงความคิดของสาวกจึงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์ 48แล้วกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ผู้ใดก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา ก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และผู้ใดที่รับเรา ก็นับว่ารับพระองค์ผู้ส่งเรามา ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกเจ้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
49ยอห์นพูดว่า “นายท่าน พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับไล่พวกมารในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามที่จะห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนของเรา” 50พระเยซูกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย คนที่ไม่เป็นฝ่ายค้านพวกเจ้าก็เป็นฝ่ายเจ้า”
ชาวสะมาเรียไม่ยอมรับพระเยซู
51เมื่อใกล้เวลาที่พระองค์จะคืนสู่สวรรค์ พระเยซูตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 52และส่งพวกผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปยังหมู่บ้านของชาวสะมาเรีย#9:52 ชาวยิวและชาวสะมาเรียเข้ากันไม่ได้ เพราะว่าชาวสะมาเรียเป็นชนชาติผสมระหว่างยิวและชาติอื่นซึ่งนับว่าไม่ใช่ชาวยิวแท้ เพื่อเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อม 53แต่ผู้คนที่นั่นกลับไม่ยอมรับพระองค์ เพราะเมืองเยรูซาเล็มเป็นจุดหมายปลายทางของพระองค์ 54เมื่อสาวกของพระองค์คือยากอบและยอห์นเห็นดังนั้นจึงถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์จะโปรดให้พวกเราขอไฟลงมาจากสวรรค์ทำลายเขาเสียไหม” 55แต่พระเยซูหันกลับและห้ามพวกเขาไว้ 56แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกจึงไปยังหมู่บ้านอื่น
ความพร้อมก่อนติดตามพระเยซู
57ขณะที่พวกเขากำลังเดินกันไปตามถนน ได้มีชายคนหนึ่งพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งหน” 58พระเยซูตอบว่า “สุนัขจิ้งจอกอาศัยในโพรง นกมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่อาศัยนอน” 59พระองค์กล่าวกับอีกคนว่า “จงตามเรามาเถิด” ชายผู้นั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดให้ข้าพเจ้าได้ไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าก่อน” 60พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังศพคนตายของเขาเอง เจ้าจงไปเพื่อประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า” 61อีกคนพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไป แต่ขอให้ได้ร่ำลาครอบครัวของข้าพเจ้าก่อน” 62พระเยซูตอบว่า “ไม่มีผู้ใดที่จับคันไถแล้วหันหน้ากลับไป จะเหมาะสมกับการเป็นผู้รับใช้ในอาณาจักรของพระเจ้า”
Currently Selected:
ลูกา 9: NTV
Highlight
Share
Copy
Want to have your highlights saved across all your devices? Sign up or sign in
New Thai Version Foundation
ลูกา 9
9
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวกทั้งสิบสองก่อนออกไปประกาศ
1ครั้นแล้วพระเยซูจึงเรียกอัครทูตทั้งสิบสองมา เพื่อรับอานุภาพและสิทธิอำนาจในการขับไล่มารทั้งปวง รวมถึงการรักษาโรคต่างๆ 2และพระองค์ส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนป่วย 3พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำของติดตัวในการเดินทางเลย เช่นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงินทอง และเสื้อสำรองตัวใน 4เมื่อเข้าไปในบ้านใครก็จงอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกไปจากเมือง 5ถ้าไม่มีผู้ใดต้อนรับ ก็จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าเจ้าเวลาที่ไปจากเมืองนั้น เพื่อแสดงถึงความผิดของเขาว่า พระเจ้าจะลงโทษพวกเขา” 6ดังนั้นสาวกจึงไปตามหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกแห่งหน
7เมื่อเฮโรดผู้ปกครองแคว้นได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็รู้สึกงุนงง เพราะมีคำเล่าขานว่ายอห์นฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 8บ้างก็พูดว่า เอลียาห์มาปรากฏ และบ้างก็พูดว่าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าท่านหนึ่งในสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก 9เฮโรดกล่าวว่า “เขาคือยอห์นที่เราสั่งตัดหัว แล้วคนที่เราได้ยินเรื่องของเขานี้คือผู้ใด” แล้วเฮโรดเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะได้พบพระเยซู
มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว
10หลังจากที่อัครทูตเดินทางกลับมาแล้ว ก็ได้รายงานการปฏิบัติงานของเขากับพระเยซู แล้วพระองค์ก็พาพวกเขาไปกันตามลำพังถึงเมืองเบธไซดา 11ฝูงชนที่ทราบเรื่องก็ตามพระองค์ไป พระเยซูต้อนรับพวกเขา และกล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า ทั้งยังรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการรักษา
12ครั้นใกล้เวลาเย็น อัครทูตทั้งสิบสองมาหาพระองค์และบอกว่า “ปล่อยให้ผู้คนไปตามหมู่บ้านใกล้เคียงและชนบท เพื่อหาอาหารและที่พักเถิด เพราะที่นี่เป็นที่กันดาร” 13พระองค์ตอบว่า “พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” เหล่าสาวกพูดว่า “เรามีเพียงขนมปัง 5 ก้อนกับปลาอีก 2 ตัวเท่านั้น นอกจากว่าเราจะไปซื้ออาหารมาให้คนเหล่านี้” 14มีชายประมาณ 5,000 คนที่นั่น แต่พระองค์กล่าวกับสาวกว่า “จงให้คนนั่งลงรวมเป็นกลุ่มๆ ละประมาณ 50 คน” 15พวกสาวกก็ทำตาม โดยให้ทุกคนนั่งลง 16พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวขอบคุณพระเจ้า และบิขนมปังให้กับพวกสาวกเพื่อแจกแก่ผู้คน 17พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ และสามารถรวบรวมอาหารที่เหลือได้ 12 ตะกร้า
บุตรมนุษย์เป็นใคร
18ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ถามบรรดาสาวกที่อยู่ด้วยว่า “ฝูงชนพูดกันว่าเราเป็นใคร” 19สาวกตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างพูดว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่า เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจากสมัยโบราณที่ได้ฟื้นคืนชีวิตอีก” 20พระองค์ถามว่า “แต่พวกเจ้าพูดว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “พระคริสต์ของพระเจ้า”
21พระเยซูกำชับพวกเขาไม่ให้บอกใครๆ 22พระองค์กล่าวว่า “บุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และพวกผู้ใหญ่ บรรดามหาปุโรหิต และอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจะไม่ยอมรับ บุตรมนุษย์จะถูกประหารชีวิตและ 3 วันต่อมาจะฟื้นคืนชีวิต”
23แล้วพระองค์กล่าวกับทุกคนที่นั่นว่า “ถ้าใครปรารถนาที่จะตามเรามาจะต้องไม่เห็นแก่ตนเอง เขาจะแบกไม้กางเขนของตนเป็นประจำทุกวันและติดตามเรา 24เพราะใครก็ตามที่ต้องการช่วยชีวิตของตนให้รอดจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตของเขาเพื่อเราก็จะมีชีวิตที่รอดพ้น 25จะมีประโยชน์อะไร หากคนหนึ่งได้ทั้งโลกมาเป็นของตน แต่ต้องสูญเสียชีวิตของเขาไป 26ใครก็ตามที่มีความอายเพราะเราและคำพูดของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะเขา ในเวลาที่ท่านมาด้วยสง่าราศีของท่าน ของพระบิดาและของบรรดาทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ 27เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้า”
พระเยซู โมเสส และเอลียาห์
28หลังจากที่พระเยซูกล่าวสิ่งนี้ได้ประมาณ 8 วันก็พาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาด้วยเพื่ออธิษฐาน 29ขณะที่พระองค์อธิษฐานอยู่ ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และเสื้อตัวนอกที่สวมก็บังเกิดขาวประกายเจิดจ้า 30มีชาย 2 คนกำลังสนทนาอยู่กับพระองค์คือโมเสสและเอลียาห์ 31เขาทั้งสองปรากฏตัวด้วยสง่าราศีที่รุ่งโรจน์ และกำลังสนทนากันถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งใกล้ถึงเวลาที่จะกระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นที่เมืองเยรูซาเล็ม 32เปโตรและสาวกอีก 2 คนที่ติดตามมาด้วยกำลังเคลิ้ม แต่เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นพระสง่าราศีของพระเยซู และชาย 2 คนนั้นก็ยืนอยู่ด้วย 33ขณะที่ชายทั้งสองกำลังจากไป เปโตรพูดกับพระเยซูโดยไม่รู้สึกตัวว่า “นายท่าน ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสส และกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” 34ขณะที่กำลังพูด เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน ณ ที่นั้นไว้ จนต่างก็เกิดความตระหนกยิ่ง 35ทั้งมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา คือผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว จงฟังท่านเถิด” 36สิ้นเสียงนั้นแล้วสาวกทั้งสามก็พบพระเยซูแต่เพียงลำพัง และพวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้โดยไม่แพร่งพรายกับผู้ใดในเวลานั้นว่า พวกเขาได้พบอะไรมาบ้าง
พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวเด็ก
37ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระองค์และเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาก็พบว่า มีผู้คนมากมายมารอพบพระองค์ 38ชายคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนขึ้นว่า “อาจารย์ ขอท่านโปรดดูลูกชายของข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น 39มีวิญญาณเข้าสิงเขา ทำให้กรีดร้องดังทันทีทันใด แล้วเขาจะชักจนน้ำลายฟูมปาก มันทำให้เขาล้มลุกคลุกคลาน และแทบจะไม่ได้ละไปจากร่างของเขาเลย 40ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนให้สาวกของท่านขับไล่มันไปเสีย แต่พวกเขาทำไม่ได้” 41พระเยซูตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ และบิดเบือนเสียจริง เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้า และทนต่อเจ้าไปนานสักเท่าไร จงนำตัวลูกชายของเจ้ามาที่นี่เถิด” 42ขณะที่เด็กกำลังเดินมา มารก็ทำให้เขาล้มลงกับพื้นและชัก แต่พระเยซูห้ามวิญญาณร้าย และรักษาเด็กจนหายดี แล้วส่งกลับไปหาพ่อของเขา 43ฝูงชนต่างอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจกับสิ่งทั้งปวงที่พระเยซูกระทำ พระองค์กล่าวกับพวกสาวกว่า 44“จงฟังเราให้ดี จวนเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์” 45แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าวถึง เขาไม่อาจเห็นความหมายที่แฝงอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามถึงความนัยนั้น
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
46พวกสาวกเริ่มถกเถียงกันว่าใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจำนวนพวกเขา 47พระเยซูทราบถึงความคิดของสาวกจึงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์ 48แล้วกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ผู้ใดก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา ก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และผู้ใดที่รับเรา ก็นับว่ารับพระองค์ผู้ส่งเรามา ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกเจ้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
49ยอห์นพูดว่า “นายท่าน พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับไล่พวกมารในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามที่จะห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนของเรา” 50พระเยซูกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย คนที่ไม่เป็นฝ่ายค้านพวกเจ้าก็เป็นฝ่ายเจ้า”
ชาวสะมาเรียไม่ยอมรับพระเยซู
51เมื่อใกล้เวลาที่พระองค์จะคืนสู่สวรรค์ พระเยซูตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 52และส่งพวกผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปยังหมู่บ้านของชาวสะมาเรีย#9:52 ชาวยิวและชาวสะมาเรียเข้ากันไม่ได้ เพราะว่าชาวสะมาเรียเป็นชนชาติผสมระหว่างยิวและชาติอื่นซึ่งนับว่าไม่ใช่ชาวยิวแท้ เพื่อเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อม 53แต่ผู้คนที่นั่นกลับไม่ยอมรับพระองค์ เพราะเมืองเยรูซาเล็มเป็นจุดหมายปลายทางของพระองค์ 54เมื่อสาวกของพระองค์คือยากอบและยอห์นเห็นดังนั้นจึงถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์จะโปรดให้พวกเราขอไฟลงมาจากสวรรค์ทำลายเขาเสียไหม” 55แต่พระเยซูหันกลับและห้ามพวกเขาไว้ 56แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกจึงไปยังหมู่บ้านอื่น
ความพร้อมก่อนติดตามพระเยซู
57ขณะที่พวกเขากำลังเดินกันไปตามถนน ได้มีชายคนหนึ่งพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งหน” 58พระเยซูตอบว่า “สุนัขจิ้งจอกอาศัยในโพรง นกมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่อาศัยนอน” 59พระองค์กล่าวกับอีกคนว่า “จงตามเรามาเถิด” ชายผู้นั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดให้ข้าพเจ้าได้ไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าก่อน” 60พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังศพคนตายของเขาเอง เจ้าจงไปเพื่อประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า” 61อีกคนพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไป แต่ขอให้ได้ร่ำลาครอบครัวของข้าพเจ้าก่อน” 62พระเยซูตอบว่า “ไม่มีผู้ใดที่จับคันไถแล้วหันหน้ากลับไป จะเหมาะสมกับการเป็นผู้รับใช้ในอาณาจักรของพระเจ้า”
Currently Selected:
:
Highlight
Share
Copy
Want to have your highlights saved across all your devices? Sign up or sign in
New Thai Version Foundation