ลูกา 7
7
ทรงรักษาทาสของนายร้อย
(มธ. 8:5-13)
1เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นให้คนทั้งหลายฟังเสร็จแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม 2มีทาสของนายร้อยคนหนึ่งที่นายรักมากป่วยเกือบจะตายแล้ว 3เมื่อนายร้อยได้ยินถึงพระเยซู จึงใช้ผู้ใหญ่บางคนของพวกยิวให้ไปอ้อนวอน เชิญพระองค์เสด็จมารักษาทาสของตน 4เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึงพระเยซูแล้ว เขาก็อ้อนวอนพระองค์ด้วยใจร้อนรนว่า <<นายร้อยนั้นเป็นคนสมควรที่พระองค์จะกระทำการนั้นให้ท่าน 5เพราะว่าท่านรักชนชาติของเรา และท่านเองได้สร้างธรรมศาลาให้เรา>> 6และพระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา เมื่อไปเกือบจะถึงตึกแล้ว นายร้อยจึงใช้เพื่อนฝูงไปหาพระองค์ทูลว่า <<พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ 7เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึงคิดเห็นว่า ไม่สมควรที่ข้าพระองค์จะไปหาพระองค์ด้วย แต่ขอพระองค์ตรัสสั่ง และบ่าวของข้าพระองค์จะหายโรค 8ข้าพระองค์ทราบดี เพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า <ไป> เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า <มา> เขาก็มา บอกบ่าวของข้าพระองค์ว่า <จงทำสิ่งนี้> เขาก็ทำ>> 9เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้วก็ประหลาดพระทัยด้วยคนนั้น จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับประชาชนที่ตามพระองค์มาว่า <<เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้ในพวกอิสราเอล เราไม่เคยพบศรัทธามากเท่านี้>> 10ฝ่ายคนที่รับใช้มานั้น เมื่อกลับไปถึงตึกก็ได้เห็นทาสนั้นหายเป็นปกติแล้ว
พระเยซูทรงเรียกบุตรแม่ม่าย ที่นาอินให้เป็นขึ้น
11ต่อมาพระองค์เสด็จไปยังเมืองหนึ่งชื่อนาอิน เหล่าสาวกของพระองค์กับคนเป็นอันมากก็ตามพระองค์ไป 12เมื่อมาใกล้ประตูเมืองนั้น ดูเถิด มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เป็นลูกคนเดียวของแม่ และนางก็เป็นหญิงม่าย ชาวเมืองเป็นอันมากมากับหญิงนั้น 13เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นมารดานั้น พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาและตรัสว่า <<อย่าร้องไห้>> 14แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ถูกต้องโลง คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงตรัสว่า <<ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่า ลุกขึ้นเถิด>> 15คนที่ตายนั้นก็ลุกนั่งเริ่มพูด พระองค์จึงทรงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา 16ฝ่ายคนทั้งปวงมีความกลัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า <<ท่านผู้เผยพระวจนะใหญ่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางเรา และพระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์แล้ว>> 17และกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปตลอดทั่วยูเดีย และทั่วแว่นแคว้นล้อมรอบ
ผู้ส่งข่าวของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
(มธ. 11:2-19)
18ฝ่ายพวกศิษย์ของยอห์นก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นให้ท่านฟัง 19ยอห์นจึงเรียกศิษย์ของท่านสองคนใช้เขาไปหาพระเป็นเจ้า ทูลถามว่า <<ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะคอยผู้อื่น>> 20เมื่อคนทั้งสองมาถึงพระองค์แล้ว เขาทูลว่า <<ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านให้ถามว่า <ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น> >> 21ในเวลานั้น พระองค์ได้ทรงรักษาคนเจ็บเป็นอันมากให้หายจากความเจ็บและโรคต่างๆ และให้พ้นจากผีร้าย และคนตาบอดหลายคนพระองค์ได้ทรงรักษาให้เห็นได้ 22แล้วพระองค์ตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า <<จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยิน คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน#อสย. 35:5-6 คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา#อสย. 61:1 23บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรคผู้นั้นเป็นสุข>>
24เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า <<ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ 25ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายได้ไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ ดูเถิด คนนุ่งห่มผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในราชสำนัก 26แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร ดูผู้เผยพระวจนะหรือ แน่ทีเดียว และเราบอกท่านว่า ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก 27คือยอห์นนี้แหละที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า
เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน
ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน #
มลค. 3:1
28เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนที่บังเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก>> 29(ฝ่ายคนทั้งปวงเมื่อได้ยินรวมทั้งพวกเก็บภาษีด้วยก็ได้รับว่าพระเจ้ายุติธรรม โดยที่เขาได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว 30แต่พวกฟาริสีและพวกบาเรียนไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขา โดยที่มิได้รับบัพติศมาจากยอห์น)#มธ. 21:32; ลก. 3:12
31<<เหตุฉะนั้นเราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี 32เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาด ร้องแก่เพื่อนว่า
<พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ
พวกฉันได้พิลาปร่ำไห้ และพวกเธอมิได้ตีอกชกหัว>
33ด้วยว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น และท่านทั้งหลายว่า <มีผีเข้าสิงอยู่> 34ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม และท่านทั้งหลายว่า <ดูเถิด นี่เป็นคนกินเติบและขี้เมา เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีต> 35แต่พระปัญญาก็ปรากฏว่าชอบแล้ว โดย#ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ลูกทั้งหลายของบรรดาผลแห่งพระปัญญานั้น>>
พระเยซูในบ้านของซีโมนพวกฟาริสี
36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในเรือนของคนฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายลง 37และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งของเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงเอนพระกายเสวยอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม 38มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ ร้องไห้น้ำตาไหลเปียกพระบาท เอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์มาก และเอาน้ำมันนั้นชโลม#มธ. 26:7; มก. 14:3; ยน. 12:3 39ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์ เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า <<ถ้าท่านนี้เป็นผู้เผยพระวจนะก็คงจะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนชั่ว>> 40ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<ซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้าง>> เขาทูลว่า <<ท่านอาจารย์เจ้าข้า เชิญพูดไปเถิด>> 41พระองค์จึงตรัสว่า <<เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน#หนึ่งเหรียญเดนาริอัน เป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ 42เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า>> 43ซีโมนจึงทูลว่า <<ข้าพเจ้าเห็นว่าคนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มาก ก็เป็นคนที่รักนายมาก>> พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า <<ท่านคิดเห็นถูกแล้ว>> 44พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และตรัสแก่ซีโมนว่า <<ท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเราและได้เอาผมของตนเช็ด 45ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามา มิได้หยุดจุบเท้าของเรา 46ท่านมิได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะของเรา แต่นางได้เอาน้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา 47เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า ความผิดบาปของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกเสียแล้ว เพราะนางรักมาก แต่ผู้ที่ได้รับการยกโทษน้อย ผู้นั้นก็รักน้อย>> 48พระองค์จึงตรัสแก่นางว่า <<ความผิดบาปของเจ้าโปรดยกเสียแล้ว>> 49ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยพูดกันว่า <<คนนี้เป็นใคร แม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้>> 50พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า <<ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด>>
Currently Selected:
ลูกา 7: TH1971
Highlight
Share
Copy
Want to have your highlights saved across all your devices? Sign up or sign in
ลูกา 7
7
ทรงรักษาทาสของนายร้อย
(มธ. 8:5-13)
1เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นให้คนทั้งหลายฟังเสร็จแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม 2มีทาสของนายร้อยคนหนึ่งที่นายรักมากป่วยเกือบจะตายแล้ว 3เมื่อนายร้อยได้ยินถึงพระเยซู จึงใช้ผู้ใหญ่บางคนของพวกยิวให้ไปอ้อนวอน เชิญพระองค์เสด็จมารักษาทาสของตน 4เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึงพระเยซูแล้ว เขาก็อ้อนวอนพระองค์ด้วยใจร้อนรนว่า <<นายร้อยนั้นเป็นคนสมควรที่พระองค์จะกระทำการนั้นให้ท่าน 5เพราะว่าท่านรักชนชาติของเรา และท่านเองได้สร้างธรรมศาลาให้เรา>> 6และพระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา เมื่อไปเกือบจะถึงตึกแล้ว นายร้อยจึงใช้เพื่อนฝูงไปหาพระองค์ทูลว่า <<พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ 7เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึงคิดเห็นว่า ไม่สมควรที่ข้าพระองค์จะไปหาพระองค์ด้วย แต่ขอพระองค์ตรัสสั่ง และบ่าวของข้าพระองค์จะหายโรค 8ข้าพระองค์ทราบดี เพราะเหตุว่าข้าพระองค์อยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า <ไป> เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า <มา> เขาก็มา บอกบ่าวของข้าพระองค์ว่า <จงทำสิ่งนี้> เขาก็ทำ>> 9เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้วก็ประหลาดพระทัยด้วยคนนั้น จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับประชาชนที่ตามพระองค์มาว่า <<เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้ในพวกอิสราเอล เราไม่เคยพบศรัทธามากเท่านี้>> 10ฝ่ายคนที่รับใช้มานั้น เมื่อกลับไปถึงตึกก็ได้เห็นทาสนั้นหายเป็นปกติแล้ว
พระเยซูทรงเรียกบุตรแม่ม่าย ที่นาอินให้เป็นขึ้น
11ต่อมาพระองค์เสด็จไปยังเมืองหนึ่งชื่อนาอิน เหล่าสาวกของพระองค์กับคนเป็นอันมากก็ตามพระองค์ไป 12เมื่อมาใกล้ประตูเมืองนั้น ดูเถิด มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เป็นลูกคนเดียวของแม่ และนางก็เป็นหญิงม่าย ชาวเมืองเป็นอันมากมากับหญิงนั้น 13เมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นมารดานั้น พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาและตรัสว่า <<อย่าร้องไห้>> 14แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ถูกต้องโลง คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงตรัสว่า <<ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่า ลุกขึ้นเถิด>> 15คนที่ตายนั้นก็ลุกนั่งเริ่มพูด พระองค์จึงทรงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา 16ฝ่ายคนทั้งปวงมีความกลัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า <<ท่านผู้เผยพระวจนะใหญ่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางเรา และพระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์แล้ว>> 17และกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปตลอดทั่วยูเดีย และทั่วแว่นแคว้นล้อมรอบ
ผู้ส่งข่าวของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
(มธ. 11:2-19)
18ฝ่ายพวกศิษย์ของยอห์นก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นให้ท่านฟัง 19ยอห์นจึงเรียกศิษย์ของท่านสองคนใช้เขาไปหาพระเป็นเจ้า ทูลถามว่า <<ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะคอยผู้อื่น>> 20เมื่อคนทั้งสองมาถึงพระองค์แล้ว เขาทูลว่า <<ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านให้ถามว่า <ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น> >> 21ในเวลานั้น พระองค์ได้ทรงรักษาคนเจ็บเป็นอันมากให้หายจากความเจ็บและโรคต่างๆ และให้พ้นจากผีร้าย และคนตาบอดหลายคนพระองค์ได้ทรงรักษาให้เห็นได้ 22แล้วพระองค์ตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า <<จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยิน คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน#อสย. 35:5-6 คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา#อสย. 61:1 23บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรคผู้นั้นเป็นสุข>>
24เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า <<ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ 25ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายได้ไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ ดูเถิด คนนุ่งห่มผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในราชสำนัก 26แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร ดูผู้เผยพระวจนะหรือ แน่ทีเดียว และเราบอกท่านว่า ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก 27คือยอห์นนี้แหละที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า
เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน
ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน #
มลค. 3:1
28เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนที่บังเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก>> 29(ฝ่ายคนทั้งปวงเมื่อได้ยินรวมทั้งพวกเก็บภาษีด้วยก็ได้รับว่าพระเจ้ายุติธรรม โดยที่เขาได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว 30แต่พวกฟาริสีและพวกบาเรียนไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขา โดยที่มิได้รับบัพติศมาจากยอห์น)#มธ. 21:32; ลก. 3:12
31<<เหตุฉะนั้นเราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี 32เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาด ร้องแก่เพื่อนว่า
<พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ
พวกฉันได้พิลาปร่ำไห้ และพวกเธอมิได้ตีอกชกหัว>
33ด้วยว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น และท่านทั้งหลายว่า <มีผีเข้าสิงอยู่> 34ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม และท่านทั้งหลายว่า <ดูเถิด นี่เป็นคนกินเติบและขี้เมา เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีต> 35แต่พระปัญญาก็ปรากฏว่าชอบแล้ว โดย#ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ลูกทั้งหลายของบรรดาผลแห่งพระปัญญานั้น>>
พระเยซูในบ้านของซีโมนพวกฟาริสี
36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในเรือนของคนฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายลง 37และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งของเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงเอนพระกายเสวยอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม 38มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ ร้องไห้น้ำตาไหลเปียกพระบาท เอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์มาก และเอาน้ำมันนั้นชโลม#มธ. 26:7; มก. 14:3; ยน. 12:3 39ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์ เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า <<ถ้าท่านนี้เป็นผู้เผยพระวจนะก็คงจะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนชั่ว>> 40ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<ซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้าง>> เขาทูลว่า <<ท่านอาจารย์เจ้าข้า เชิญพูดไปเถิด>> 41พระองค์จึงตรัสว่า <<เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน#หนึ่งเหรียญเดนาริอัน เป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ 42เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า>> 43ซีโมนจึงทูลว่า <<ข้าพเจ้าเห็นว่าคนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มาก ก็เป็นคนที่รักนายมาก>> พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า <<ท่านคิดเห็นถูกแล้ว>> 44พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และตรัสแก่ซีโมนว่า <<ท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเราและได้เอาผมของตนเช็ด 45ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามา มิได้หยุดจุบเท้าของเรา 46ท่านมิได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะของเรา แต่นางได้เอาน้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา 47เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า ความผิดบาปของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกเสียแล้ว เพราะนางรักมาก แต่ผู้ที่ได้รับการยกโทษน้อย ผู้นั้นก็รักน้อย>> 48พระองค์จึงตรัสแก่นางว่า <<ความผิดบาปของเจ้าโปรดยกเสียแล้ว>> 49ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยพูดกันว่า <<คนนี้เป็นใคร แม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้>> 50พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า <<ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด>>
Currently Selected:
:
Highlight
Share
Copy
Want to have your highlights saved across all your devices? Sign up or sign in