ลูกา 11
11
พระดำรัสสอนเรื่องการอธิษฐาน
(มธ.6:9-15; 7:7-11)
1พระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน เหมือนที่ยอห์นสอนพวกศิษย์ของท่าน” 2พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่ออธิษฐาน จงกล่าวว่า
‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
3ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ทุกๆ วัน
4ขอทรงยกโทษบาปผิดของพวกข้าพระองค์
เพราะว่าพวกข้าพระองค์ยกโทษให้กับทุกคนที่เป็นหนี้ข้าพระองค์นั้น
และขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง’ ”
5แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านที่มีเพื่อนคนหนึ่ง และเขาไปหาเพื่อนคนนั้นในเวลาเที่ยงคืน พูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6เพราะเพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาถึง และข้าไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ 7เพื่อนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนข้าเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับตัวข้าก็เข้านอนกันหมดแล้ว ข้าไม่สามารถลุกขึ้นไปหยิบให้ท่านได้’ 8เราบอกพวกท่านว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นไปหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าเพราะถูกคนนั้นรบเร้าอย่างมาก เขาก็จะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่คนนั้นต้องการ 9เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน 10เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา 11มีใครบ้างในพวกท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอ#สำเนาโบราณหลายฉบับ เพิ่มข้อความว่า ขนมปัง จะเอาก้อนหินให้เขาหรือ? หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ? 12หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ? 13เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์”
พระเยซูและเบเอลเซบูล
(มธ.12:22-30; มก.3:20-27)
14พระองค์ทรงขับผีใบ้ เมื่อผีออกแล้ว คนใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนก็ประหลาดใจ 15แต่บางคนพูดว่า “คนนี้ขับผีออกได้โดยอาศัยเบเอลเซบูลนายผี”# มธ.9:34; 10:25 16คนอื่นๆ ก็ทดลองพระองค์โดยขอให้พระองค์แสดงหมายสำคัญจากท้องฟ้า# มธ.12:38; 16:1; มก.8:11 17แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับเขาว่า “อาณาจักรทุกแห่งที่แตกแยกกันย่อมต้องพินาศ และครัวเรือนทุกหลังย่อมต้องล่มสลาย 18ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? เพราะพวกท่านกล่าวว่าเราขับผีออกได้โดยอาศัยเบเอลเซบูล 19ถ้าเราขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบูลแล้ว ลูกน้องของพวกท่านขับมันออกโดยอาศัยใคร? เพราะเหตุนี้ ลูกน้องของพวกท่านจะเป็นผู้ตัดสินโทษท่าน 20แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว 21เมื่อคนที่มีกำลังถืออาวุธเฝ้าตึกของตนอยู่ สิ่งของของเขาก็ปลอดภัย 22แต่เมื่อคนที่มีกำลังมากกว่ามาต่อสู้เอาชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาวางใจนั้นไปเสีย แล้วเอาสิ่งของที่ริบมาได้นั้นมาแบ่งสันปันส่วน 23ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา# มก.9:40 และใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็ทำให้กระจัดกระจายไป
ผีโสโครกกลับเข้ามาใหม่
(มธ.12:43-45)
24“เมื่อผีโสโครกออกมาจากใครแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบ มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปที่บ้านของข้าที่ข้าจากมานั้น’ 25และเมื่อมาถึงก็เห็นบ้านนั้นถูกกวาดและจัดเป็นระเบียบไว้แล้ว 26มันจึงไปพาผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรก”
ผู้ที่มีความสุขแท้
27ขณะที่พระองค์กำลังตรัสคำเหล่านั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนร้องทูลพระองค์ว่า “ครรภ์ที่ให้กำเนิดท่านและเต้านมที่เลี้ยงท่านนั้นก็เป็นสุข” 28แต่พระองค์ตรัสว่า “คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้วถือรักษาไว้ต่างหากที่เป็นสุข”
การแสวงหาหมายสำคัญ
(มธ.12:38-42; มก.8:12)
29เมื่อฝูงชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระองค์ก็ตรัสว่า “คนในยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย ชอบแสวงหาหมายสำคัญ# มธ.16:4; มก.8:12 แต่จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่พวกเขาเว้นแต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น 30เพราะว่าโยนาห์เคยเป็นหมายสำคัญให้กับชาวนีนะเวห์อย่างไร# ยนา.3:4 บุตรมนุษย์ก็จะเป็นหมายสำคัญให้กับคนยุคนี้อย่างนั้น 31ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าพระนางนั้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน# 1 พกษ.10:1-10; 2 พศด.9:1-12 และผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่ 32ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่เพราะการประกาศของโยนาห์# ยนา.3:5 และผู้ที่ใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่
ความสว่างของร่างกาย
(มธ.5:15; 6:22-23)
33“ไม่มีใครเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่ลี้ลับหรือเอาถังครอบไว้ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง# มธ.5:15; มก.4:21; ลก.8:16 เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่าง 34ตาเป็นประทีปของร่างกาย ถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย 35ระวังให้ดี อย่าให้ความสว่างที่อยู่ในตัวท่านกลายเป็นความมืด 36ถ้าทั้งตัวของท่านเต็มไปด้วยความสว่างไม่มีความมืดเลย มันก็จะสว่างไสวไปหมดเหมือนอย่างความสว่างของตะเกียงที่ส่องมายังท่าน”
การทรงกล่าวโทษพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์
(มธ.23:1-36; มก.12:38-40; ลก.20:45-47)
37เมื่อพระองค์ตรัสจบแล้ว คนหนึ่งในพวกฟาริสีก็เชิญพระองค์ไปร่วมรับประทานอาหาร พระองค์จึงเสด็จไปและประทับที่โต๊ะ 38เมื่อฟาริสีคนนั้นเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทำพิธีชำระก่อนรับประทานอาหารก็ประหลาดใจ 39องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านซึ่งเป็นฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามแต่เพียงภายนอก แต่ภายในพวกท่านเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40โอ คนโฉดเขลา ผู้ที่ทรงสร้างภายนอกก็ทรงสร้างภายในด้วยไม่ใช่หรือ? 41ดังนั้นจงให้ทานด้วยสิ่งที่อยู่ภายใน แล้วทุกสิ่งจะสะอาดบริสุทธิ์สำหรับพวกท่าน
42“แต่วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านถวายทศางค์#คือ ร้อยละสิบเป็นพวกสะระแหน่ ขมิ้น และพืชผักทุกชนิด# ลนต.27:30 แต่กลับละเว้นความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้พวกท่านควรทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นๆ ก็ไม่ควรละเว้นด้วย 43วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับกลางตลาด 44วิบัติแก่พวกท่าน เพราะว่าท่านเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ไม่ปรากฏให้เห็น และคนก็เดินเหยียบอยู่บนนั้นโดยไม่รู้เรื่อง”
45ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ การที่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนเราด้วย” 46พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่ท่านด้วยพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะท่านเอาของที่หนักเหลือรับให้มนุษย์เป็นคนแบก แต่ตัวพวกท่านเองกลับไม่ช่วยยกเลยแม้แต่นิ้วเดียว 47วิบัติแก่พวกท่าน เพราะท่านก่ออุโมงค์ให้กับบรรดาผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของท่านเองก็เป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น 48เพราะฉะนั้นพวกท่านจึงเป็นพยานเห็นชอบกับการกระทำของบรรพบุรุษของท่าน เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น และพวกท่านก็เป็นผู้ก่ออุโมงค์ให้ 49เพราะเหตุนี้พระปัญญาของพระเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ‘เราจะใช้พวกผู้เผยพระวจนะและบรรดาอัครทูตไปหาพวกเขา แล้วบางคนจะถูกพวกเขาข่มเหง และบางคนจะถูกพวกเขาฆ่า’ 50เพราะฉะนั้นคนยุคนี้แหละที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งต้องหลั่งออกตั้งแต่แรกสร้างโลก 51คือตั้งแต่โลหิตของอาเบล# ปฐก.4:8จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์# 2 พศด.24:20-21ที่ถูกฆ่าตายบริเวณระหว่างแท่นบูชากับพระนิเวศของพระเจ้า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น 52วิบัติแก่ท่าน พวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะว่าท่านเอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย ตัวพวกท่านเองไม่เข้าไป และเมื่อมีคนกำลังจะเข้าไป ท่านก็ขัดขวางไว้”
53เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่นั่น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็เริ่มผูกพยาบาทและจู่โจมพระองค์ด้วยคำถามต่างๆ 54เพื่อคอยจับผิดในสิ่งที่พระองค์ตรัส
ที่ได้เลือกล่าสุด:
ลูกา 11: THSV11
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
ลูกา 11
11
พระดำรัสสอนเรื่องการอธิษฐาน
(มธ.6:9-15; 7:7-11)
1พระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน เหมือนที่ยอห์นสอนพวกศิษย์ของท่าน” 2พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่ออธิษฐาน จงกล่าวว่า
‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
3ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ทุกๆ วัน
4ขอทรงยกโทษบาปผิดของพวกข้าพระองค์
เพราะว่าพวกข้าพระองค์ยกโทษให้กับทุกคนที่เป็นหนี้ข้าพระองค์นั้น
และขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง’ ”
5แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านที่มีเพื่อนคนหนึ่ง และเขาไปหาเพื่อนคนนั้นในเวลาเที่ยงคืน พูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6เพราะเพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาถึง และข้าไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ 7เพื่อนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนข้าเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับตัวข้าก็เข้านอนกันหมดแล้ว ข้าไม่สามารถลุกขึ้นไปหยิบให้ท่านได้’ 8เราบอกพวกท่านว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นไปหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าเพราะถูกคนนั้นรบเร้าอย่างมาก เขาก็จะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่คนนั้นต้องการ 9เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน 10เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา 11มีใครบ้างในพวกท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอ#สำเนาโบราณหลายฉบับ เพิ่มข้อความว่า ขนมปัง จะเอาก้อนหินให้เขาหรือ? หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ? 12หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ? 13เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์”
พระเยซูและเบเอลเซบูล
(มธ.12:22-30; มก.3:20-27)
14พระองค์ทรงขับผีใบ้ เมื่อผีออกแล้ว คนใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนก็ประหลาดใจ 15แต่บางคนพูดว่า “คนนี้ขับผีออกได้โดยอาศัยเบเอลเซบูลนายผี”# มธ.9:34; 10:25 16คนอื่นๆ ก็ทดลองพระองค์โดยขอให้พระองค์แสดงหมายสำคัญจากท้องฟ้า# มธ.12:38; 16:1; มก.8:11 17แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับเขาว่า “อาณาจักรทุกแห่งที่แตกแยกกันย่อมต้องพินาศ และครัวเรือนทุกหลังย่อมต้องล่มสลาย 18ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? เพราะพวกท่านกล่าวว่าเราขับผีออกได้โดยอาศัยเบเอลเซบูล 19ถ้าเราขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบูลแล้ว ลูกน้องของพวกท่านขับมันออกโดยอาศัยใคร? เพราะเหตุนี้ ลูกน้องของพวกท่านจะเป็นผู้ตัดสินโทษท่าน 20แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว 21เมื่อคนที่มีกำลังถืออาวุธเฝ้าตึกของตนอยู่ สิ่งของของเขาก็ปลอดภัย 22แต่เมื่อคนที่มีกำลังมากกว่ามาต่อสู้เอาชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาวางใจนั้นไปเสีย แล้วเอาสิ่งของที่ริบมาได้นั้นมาแบ่งสันปันส่วน 23ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา# มก.9:40 และใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็ทำให้กระจัดกระจายไป
ผีโสโครกกลับเข้ามาใหม่
(มธ.12:43-45)
24“เมื่อผีโสโครกออกมาจากใครแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบ มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปที่บ้านของข้าที่ข้าจากมานั้น’ 25และเมื่อมาถึงก็เห็นบ้านนั้นถูกกวาดและจัดเป็นระเบียบไว้แล้ว 26มันจึงไปพาผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรก”
ผู้ที่มีความสุขแท้
27ขณะที่พระองค์กำลังตรัสคำเหล่านั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนร้องทูลพระองค์ว่า “ครรภ์ที่ให้กำเนิดท่านและเต้านมที่เลี้ยงท่านนั้นก็เป็นสุข” 28แต่พระองค์ตรัสว่า “คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้วถือรักษาไว้ต่างหากที่เป็นสุข”
การแสวงหาหมายสำคัญ
(มธ.12:38-42; มก.8:12)
29เมื่อฝูงชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระองค์ก็ตรัสว่า “คนในยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย ชอบแสวงหาหมายสำคัญ# มธ.16:4; มก.8:12 แต่จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่พวกเขาเว้นแต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น 30เพราะว่าโยนาห์เคยเป็นหมายสำคัญให้กับชาวนีนะเวห์อย่างไร# ยนา.3:4 บุตรมนุษย์ก็จะเป็นหมายสำคัญให้กับคนยุคนี้อย่างนั้น 31ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าพระนางนั้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน# 1 พกษ.10:1-10; 2 พศด.9:1-12 และผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่ 32ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่เพราะการประกาศของโยนาห์# ยนา.3:5 และผู้ที่ใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่
ความสว่างของร่างกาย
(มธ.5:15; 6:22-23)
33“ไม่มีใครเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่ลี้ลับหรือเอาถังครอบไว้ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง# มธ.5:15; มก.4:21; ลก.8:16 เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่าง 34ตาเป็นประทีปของร่างกาย ถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย 35ระวังให้ดี อย่าให้ความสว่างที่อยู่ในตัวท่านกลายเป็นความมืด 36ถ้าทั้งตัวของท่านเต็มไปด้วยความสว่างไม่มีความมืดเลย มันก็จะสว่างไสวไปหมดเหมือนอย่างความสว่างของตะเกียงที่ส่องมายังท่าน”
การทรงกล่าวโทษพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์
(มธ.23:1-36; มก.12:38-40; ลก.20:45-47)
37เมื่อพระองค์ตรัสจบแล้ว คนหนึ่งในพวกฟาริสีก็เชิญพระองค์ไปร่วมรับประทานอาหาร พระองค์จึงเสด็จไปและประทับที่โต๊ะ 38เมื่อฟาริสีคนนั้นเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทำพิธีชำระก่อนรับประทานอาหารก็ประหลาดใจ 39องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านซึ่งเป็นฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามแต่เพียงภายนอก แต่ภายในพวกท่านเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40โอ คนโฉดเขลา ผู้ที่ทรงสร้างภายนอกก็ทรงสร้างภายในด้วยไม่ใช่หรือ? 41ดังนั้นจงให้ทานด้วยสิ่งที่อยู่ภายใน แล้วทุกสิ่งจะสะอาดบริสุทธิ์สำหรับพวกท่าน
42“แต่วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านถวายทศางค์#คือ ร้อยละสิบเป็นพวกสะระแหน่ ขมิ้น และพืชผักทุกชนิด# ลนต.27:30 แต่กลับละเว้นความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้พวกท่านควรทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นๆ ก็ไม่ควรละเว้นด้วย 43วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับกลางตลาด 44วิบัติแก่พวกท่าน เพราะว่าท่านเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ไม่ปรากฏให้เห็น และคนก็เดินเหยียบอยู่บนนั้นโดยไม่รู้เรื่อง”
45ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ การที่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนเราด้วย” 46พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่ท่านด้วยพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะท่านเอาของที่หนักเหลือรับให้มนุษย์เป็นคนแบก แต่ตัวพวกท่านเองกลับไม่ช่วยยกเลยแม้แต่นิ้วเดียว 47วิบัติแก่พวกท่าน เพราะท่านก่ออุโมงค์ให้กับบรรดาผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของท่านเองก็เป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น 48เพราะฉะนั้นพวกท่านจึงเป็นพยานเห็นชอบกับการกระทำของบรรพบุรุษของท่าน เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น และพวกท่านก็เป็นผู้ก่ออุโมงค์ให้ 49เพราะเหตุนี้พระปัญญาของพระเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ‘เราจะใช้พวกผู้เผยพระวจนะและบรรดาอัครทูตไปหาพวกเขา แล้วบางคนจะถูกพวกเขาข่มเหง และบางคนจะถูกพวกเขาฆ่า’ 50เพราะฉะนั้นคนยุคนี้แหละที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งต้องหลั่งออกตั้งแต่แรกสร้างโลก 51คือตั้งแต่โลหิตของอาเบล# ปฐก.4:8จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์# 2 พศด.24:20-21ที่ถูกฆ่าตายบริเวณระหว่างแท่นบูชากับพระนิเวศของพระเจ้า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น 52วิบัติแก่ท่าน พวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะว่าท่านเอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย ตัวพวกท่านเองไม่เข้าไป และเมื่อมีคนกำลังจะเข้าไป ท่านก็ขัดขวางไว้”
53เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่นั่น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็เริ่มผูกพยาบาทและจู่โจมพระองค์ด้วยคำถามต่างๆ 54เพื่อคอยจับผิดในสิ่งที่พระองค์ตรัส
ที่ได้เลือกล่าสุด:
:
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้