ลูกา 9
9
พระเยซูส่งศิษย์เอกสิบสองคนออกไป
(มธ. 10:5-15; มก. 6:7-13)
1พระเยซูเรียกศิษย์เอกทั้งสิบสองคนมา แล้วพระองค์ก็ให้พวกเขามีฤทธิ์และสิทธิอำนาจเหนือผีชั่วทั้งหมด และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ 2แล้วพระองค์ก็ส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และให้รักษาคนเจ็บป่วย 3พระองค์สั่งว่า “ไม่ต้องเอาอะไรติดตัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ถุงย่าม อาหาร เงินหรือเสื้อผ้าสำรอง 4เมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านหลังไหนแล้ว ก็ให้อยู่ที่นั่นตลอดจนกว่าจะออกจากเมืองนั้นไป 5ถ้าเมืองไหนไม่ต้อนรับ ก็ให้ออกจากเมืองนั้นไป แล้วสะบัดฝุ่นออกจากเท้า#9:5 สะบัดฝุ่นออกจากเท้า หมายถึงพวกศิษย์ของพระเยซูจะไม่คบค้าสมาคมกับคนพวกนี้ เพราะไม่ยอมรับคำสอนของพระเจ้า คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษ และพวกศิษย์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะได้เตือนพวกนี้แล้ว ด้วย เพื่อเป็นการเตือนพวกเขา”
6พวกเขาก็ได้ไปประกาศข่าวดีนี้ ทั่วทุกหมู่บ้านและรักษาคนเจ็บป่วยด้วย
เฮโรดสับสนเรื่องพระเยซู
(มธ. 14:1-12; มก. 6:14-29)
7เมื่อเฮโรด ผู้ปกครองแคว้นกาลิลี ได้ยินเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ ก็มึนงงสงสัย เพราะมีคนบอกเขาว่าพระเยซู “เป็นยอห์นที่ฟื้นขึ้นจากความตาย” 8บางคนก็บอกว่า “เป็นเอลียาห์ที่มาปรากฏให้เห็น” แล้วบางคนก็บอกว่าเป็น “ผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งจากสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่” 9แต่เฮโรดพูดว่า “เราตัดหัวยอห์นไปแล้ว แล้วคนนี้ที่เราได้ยินคนพูดถึง เป็นใครกันแน่” พระองค์ก็เลยอยากจะเจอพระเยซู
พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน
(มธ. 14:13-21; มก. 6:30-44; ยน. 6:1-14)
10เมื่อพวกศิษย์เอกกลับมา ก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่พวกเขาได้ทำและสอน ให้กับพระเยซูฟัง แล้วพระองค์จึงพาพวกเขาปลีกตัวออกไปที่เมืองเบธไซดา 11เมื่อพวกชาวบ้านรู้เข้า ก็ตามพระองค์ไป พระองค์ก็ต้อนรับพวกเขา พร้อมกับเล่าเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้ฟัง และยังได้รักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย
12พอตกเย็น ศิษย์เอกทั้งสิบสองคนพากันมาหาพระเยซู พูดว่า “ส่งชาวบ้านพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้ไปหาอาหารกินและหาที่พักตามหมู่บ้านหรือไร่นาใกล้ๆนี้ในคืนนี้ เพราะที่นี่เปลี่ยวมาก”
13แต่พระเยซูกลับบอกว่า “พวกคุณหาอะไรมาเลี้ยงพวกเขาสิ”
พวกศิษย์ตอบว่า “พวกเรามีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น ถ้าจะให้มีอาหารพอก็ต้องไปซื้อมาเลี้ยงพวกเขาทุกคน” 14ขณะนั้นมีผู้ชายอยู่ประมาณห้าพันคน แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ถ้างั้นไปบอกให้พวกเขานั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณห้าสิบคน”
15พวกเขาก็ไปทำตาม ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ 16พระเยซูหยิบขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขึ้นมา พร้อมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ เพื่อเอาไปแบ่งให้กับทุกคน 17พวกชาวบ้านต่างกินกันจนอิ่ม และพวกศิษย์ก็เก็บเศษอาหารที่เหลือกินได้อีกสิบสองเข่งเต็มๆ
พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
(มธ. 16:13-19; มก. 8:27-29)
18เมื่อพระเยซูอธิษฐานอยู่คนเดียว พวกศิษย์ก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงถามว่า “ชาวบ้านพูดว่าเราเป็นใคร”
19พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งในสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่”
20พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะว่าเราเป็นใคร”
เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”
21พระเยซูเตือนพวกเขาว่าอย่าบอกให้ใครรู้
พระเยซูบอกว่าพระองค์จะต้องตาย
(มธ. 16:21-28; มก. 8:31–9:1)
22พระองค์พูดว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกฆ่า แต่พระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”
23แล้วพระองค์ก็พูดกับทุกคนว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา ต้องเลิกตามใจตัวเอง แล้วแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเราทุกๆวัน 24คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะรอด 25มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่เสียตัวตนหรือถูกทำลายไป 26คนไหนที่อับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายที่จะรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จมาพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์ สง่าราศีของพระบิดา และของพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ 27แต่เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน”
โมเสส เอลียาห์และพระเยซู
(มธ. 17:1-8; มก. 9:2-8)
28หลังจากนั้นประมาณแปดวันพระองค์พาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 29ในขณะที่อธิษฐาน ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววาว 30อยู่ๆก็มีชายสองคน คือโมเสสกับเอลียาห์#9:30 โมเสสกับเอลียาห์ คือผู้นำสองคนที่สำคัญมากของชาวยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิม มาพูดคุยอยู่กับพระองค์ที่นั่น 31ทั้งสองเปล่งรัศมีเจิดจ้า พวกเขากำลังพูดถึงการตายของพระเยซูที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม 32ส่วนเปโตรกับเพื่อนอีกสองคนนั้นง่วงมาก แต่เมื่อพวกเขาตื่นเต็มที่ ก็เห็นรัศมีอันเจิดจ้าของพระเยซู และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33เมื่อชายสองคนนั้นกำลังจะไป เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีจังเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ เราจะได้สร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หนึ่งหลัง โมเสสหนึ่งหลัง และเอลียาห์อีกหนึ่งหลัง” แต่เปโตรไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป
34ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ พวกเขากลัวมาก 35มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกของเราที่เราเลือกไว้ ให้เชื่อฟังท่าน”
36เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พวกเขาก็เห็นแต่พระเยซูเท่านั้น แล้วพวกศิษย์ก็เก็บเรื่องที่ได้เห็นนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยในตอนนั้น
พระเยซูรักษาเด็กผู้ชายที่มีผีชั่วสิงอยู่
(มธ. 17:14-18; มก. 9:14-27)
37วันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินลงมาจากภูเขา ชาวบ้านกลุ่มใหญ่มาหาพระเยซู 38ชายคนหนึ่งในฝูงชนนั้นร้องขึ้นว่า “อาจารย์ครับ ช่วยลูกผมด้วย ผมมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น 39ผีชั่วชอบเข้าสิงเขา เขาก็จะกรีดร้องทันที บางครั้งมันก็ทำให้เด็กล้มชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และชอบทำร้ายเขาอยู่เรื่อย 40ผมได้ขอร้องให้พวกศิษย์ของท่านขับมันออกไป แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”
41พระเยซูจึงตอบว่า “พวกขาดความเชื่อและหัวดื้อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาลูกคุณมานี่ซิ”
42เมื่อเด็กนั้นกำลังเดินเข้ามา ผีชั่วก็ทำให้เขาล้มลงชักดิ้นชักงอกับพื้น พระเยซูได้ตวาดไล่ผีชั่วนั้นออกไป และรักษาเด็กคนนั้น แล้วส่งคืนให้กับพ่อของเขา 43ทุกคนต่างพากันประหลาดใจมากถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระเยซูพูดถึงการตายของพระองค์
(มธ. 17:22-23; มก. 9:30-32)
ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่พระเยซูทำนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกศิษย์ว่า 44“ตั้งใจฟังให้ดีในสิ่งที่เราจะบอก บุตรมนุษย์ จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์” 45แต่พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร เพราะความหมายถูกซ่อนไปจากใจของพวกเขา ก็เลยไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม
คนที่สำคัญที่สุด
(มธ. 18:1-5; มก. 9:33-37)
46พวกเขาเริ่มเถียงกันว่า ในกลุ่มพวกเขาใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด 47พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ พระองค์จึงพาเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆพระองค์ 48แล้วพูดกับพวกศิษย์ว่า “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นก็ต้อนรับเรา และคนที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย คนที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่พวกคุณนั่นล่ะคือคนที่สำคัญที่สุด”
คนที่ไม่ได้ต่อต้านคุณก็อยู่ฝ่ายคุณ
(มก. 9:38-40)
49ยอห์นพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออกโดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเรา”
50พระเยซูพูดกับยอห์นว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านคุณก็เป็นพวกคุณอยู่แล้ว”
หมู่บ้านของชาวสะมาเรีย
51เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ พระองค์ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเมืองเยรูซาเล็ม 52พระองค์จึงส่งศิษย์บางคนล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านของชาวสะมาเรีย เพื่อจัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมสำหรับพระองค์ 53แต่คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นว่าพระองค์ตั้งใจจะไปเมืองเยรูซาเล็ม 54เมื่อยากอบและยอห์น ศิษย์ของพระองค์เห็นอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ จะให้เราสั่งไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญคนพวกนี้ให้สิ้นซากไปเลยดีไหมครับ”#9:54 ข้อนี้ สำเนากรีกบางฉบับเพิ่มเติมว่า “เหมือนกับที่เอลียาห์เคยทำมา”
55แต่พระเยซูหันมาต่อว่าพวกเขา#9:55 ข้อนี้ สำเนากรีกบางฉบับจะเพิ่มเติมว่า “พระเยซูพูดว่า ‘คุณไม่รู้หรือว่าจิตวิญญาณแบบไหนที่เป็นเจ้าของพวกคุณ ข้อ 56 บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อทำลายจิตวิญญาณมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา’” 56แล้วออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านอื่น
จะติดตามพระเยซูต้องทำอย่างไร
(มธ. 8:19-22)
57ขณะที่พวกเขากำลังเดินไปตามถนน มีชายคนหนึ่งพูดกับพระเยซูว่า “ไม่ว่าอาจารย์จะไปที่ไหน ผมจะติดตามไปด้วย”
58พระเยซูจึงตอบไปว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง นกยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน”
59พระองค์พูดกับอีกคนหนึ่งว่า “ตามเรามา” แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ขออนุญาตไปฝังศพพ่อก่อนนะครับ”
60พระเยซูจึงบอกว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายกันเองเถอะ ส่วนคุณให้ไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้าเถอะ”
61ชายอีกคนหนึ่งพูดว่า “ผมจะตามพระองค์ไปแน่ แต่ขอกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อนนะครับ”
62พระเยซูจึงตอบว่า “ถ้าคนที่จับคันไถแล้วยังห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ คนนั้นก็ไม่เหมาะสมกับอาณาจักรของพระเจ้า”
ที่ได้เลือกล่าสุด:
ลูกา 9: THA-ERV
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
Bible League International
ลูกา 9
9
พระเยซูส่งศิษย์เอกสิบสองคนออกไป
(มธ. 10:5-15; มก. 6:7-13)
1พระเยซูเรียกศิษย์เอกทั้งสิบสองคนมา แล้วพระองค์ก็ให้พวกเขามีฤทธิ์และสิทธิอำนาจเหนือผีชั่วทั้งหมด และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ 2แล้วพระองค์ก็ส่งพวกเขาออกไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และให้รักษาคนเจ็บป่วย 3พระองค์สั่งว่า “ไม่ต้องเอาอะไรติดตัวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ถุงย่าม อาหาร เงินหรือเสื้อผ้าสำรอง 4เมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านหลังไหนแล้ว ก็ให้อยู่ที่นั่นตลอดจนกว่าจะออกจากเมืองนั้นไป 5ถ้าเมืองไหนไม่ต้อนรับ ก็ให้ออกจากเมืองนั้นไป แล้วสะบัดฝุ่นออกจากเท้า#9:5 สะบัดฝุ่นออกจากเท้า หมายถึงพวกศิษย์ของพระเยซูจะไม่คบค้าสมาคมกับคนพวกนี้ เพราะไม่ยอมรับคำสอนของพระเจ้า คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษ และพวกศิษย์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะได้เตือนพวกนี้แล้ว ด้วย เพื่อเป็นการเตือนพวกเขา”
6พวกเขาก็ได้ไปประกาศข่าวดีนี้ ทั่วทุกหมู่บ้านและรักษาคนเจ็บป่วยด้วย
เฮโรดสับสนเรื่องพระเยซู
(มธ. 14:1-12; มก. 6:14-29)
7เมื่อเฮโรด ผู้ปกครองแคว้นกาลิลี ได้ยินเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ ก็มึนงงสงสัย เพราะมีคนบอกเขาว่าพระเยซู “เป็นยอห์นที่ฟื้นขึ้นจากความตาย” 8บางคนก็บอกว่า “เป็นเอลียาห์ที่มาปรากฏให้เห็น” แล้วบางคนก็บอกว่าเป็น “ผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งจากสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่” 9แต่เฮโรดพูดว่า “เราตัดหัวยอห์นไปแล้ว แล้วคนนี้ที่เราได้ยินคนพูดถึง เป็นใครกันแน่” พระองค์ก็เลยอยากจะเจอพระเยซู
พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน
(มธ. 14:13-21; มก. 6:30-44; ยน. 6:1-14)
10เมื่อพวกศิษย์เอกกลับมา ก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่พวกเขาได้ทำและสอน ให้กับพระเยซูฟัง แล้วพระองค์จึงพาพวกเขาปลีกตัวออกไปที่เมืองเบธไซดา 11เมื่อพวกชาวบ้านรู้เข้า ก็ตามพระองค์ไป พระองค์ก็ต้อนรับพวกเขา พร้อมกับเล่าเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้ฟัง และยังได้รักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย
12พอตกเย็น ศิษย์เอกทั้งสิบสองคนพากันมาหาพระเยซู พูดว่า “ส่งชาวบ้านพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้ไปหาอาหารกินและหาที่พักตามหมู่บ้านหรือไร่นาใกล้ๆนี้ในคืนนี้ เพราะที่นี่เปลี่ยวมาก”
13แต่พระเยซูกลับบอกว่า “พวกคุณหาอะไรมาเลี้ยงพวกเขาสิ”
พวกศิษย์ตอบว่า “พวกเรามีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น ถ้าจะให้มีอาหารพอก็ต้องไปซื้อมาเลี้ยงพวกเขาทุกคน” 14ขณะนั้นมีผู้ชายอยู่ประมาณห้าพันคน แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “ถ้างั้นไปบอกให้พวกเขานั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณห้าสิบคน”
15พวกเขาก็ไปทำตาม ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆ 16พระเยซูหยิบขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขึ้นมา พร้อมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ เพื่อเอาไปแบ่งให้กับทุกคน 17พวกชาวบ้านต่างกินกันจนอิ่ม และพวกศิษย์ก็เก็บเศษอาหารที่เหลือกินได้อีกสิบสองเข่งเต็มๆ
พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
(มธ. 16:13-19; มก. 8:27-29)
18เมื่อพระเยซูอธิษฐานอยู่คนเดียว พวกศิษย์ก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงถามว่า “ชาวบ้านพูดว่าเราเป็นใคร”
19พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งในสมัยก่อนที่ฟื้นขึ้นมาใหม่”
20พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะว่าเราเป็นใคร”
เปโตรตอบว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”
21พระเยซูเตือนพวกเขาว่าอย่าบอกให้ใครรู้
พระเยซูบอกว่าพระองค์จะต้องตาย
(มธ. 16:21-28; มก. 8:31–9:1)
22พระองค์พูดว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง พวกผู้นำชาวยิว พวกหัวหน้านักบวชและพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกฆ่า แต่พระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”
23แล้วพระองค์ก็พูดกับทุกคนว่า “ถ้าใครอยากจะติดตามเรา ต้องเลิกตามใจตัวเอง แล้วแบกไม้กางเขนของตัวเองตามเราทุกๆวัน 24คนที่อยากจะเอาตัวรอดจะไม่รอด แต่คนที่ยอมสละตัวเองเพื่อเราจะรอด 25มันจะได้กำไรตรงไหน ถ้าได้โลกทั้งใบ แต่เสียตัวตนหรือถูกทำลายไป 26คนไหนที่อับอายที่จะยอมรับเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายที่จะรับคนนั้นด้วยเหมือนกันในวันที่บุตรมนุษย์เสด็จมาพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์ สง่าราศีของพระบิดา และของพวกทูตสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ 27แต่เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน”
โมเสส เอลียาห์และพระเยซู
(มธ. 17:1-8; มก. 9:2-8)
28หลังจากนั้นประมาณแปดวันพระองค์พาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 29ในขณะที่อธิษฐาน ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป เสื้อผ้าพระองค์เปลี่ยนเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววาว 30อยู่ๆก็มีชายสองคน คือโมเสสกับเอลียาห์#9:30 โมเสสกับเอลียาห์ คือผู้นำสองคนที่สำคัญมากของชาวยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิม มาพูดคุยอยู่กับพระองค์ที่นั่น 31ทั้งสองเปล่งรัศมีเจิดจ้า พวกเขากำลังพูดถึงการตายของพระเยซูที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเยรูซาเล็ม 32ส่วนเปโตรกับเพื่อนอีกสองคนนั้นง่วงมาก แต่เมื่อพวกเขาตื่นเต็มที่ ก็เห็นรัศมีอันเจิดจ้าของพระเยซู และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33เมื่อชายสองคนนั้นกำลังจะไป เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีจังเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ เราจะได้สร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หนึ่งหลัง โมเสสหนึ่งหลัง และเอลียาห์อีกหนึ่งหลัง” แต่เปโตรไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไป
34ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ พวกเขากลัวมาก 35มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกของเราที่เราเลือกไว้ ให้เชื่อฟังท่าน”
36เมื่อเสียงนั้นเงียบลง พวกเขาก็เห็นแต่พระเยซูเท่านั้น แล้วพวกศิษย์ก็เก็บเรื่องที่ได้เห็นนี้ไว้ในใจ ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยในตอนนั้น
พระเยซูรักษาเด็กผู้ชายที่มีผีชั่วสิงอยู่
(มธ. 17:14-18; มก. 9:14-27)
37วันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินลงมาจากภูเขา ชาวบ้านกลุ่มใหญ่มาหาพระเยซู 38ชายคนหนึ่งในฝูงชนนั้นร้องขึ้นว่า “อาจารย์ครับ ช่วยลูกผมด้วย ผมมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น 39ผีชั่วชอบเข้าสิงเขา เขาก็จะกรีดร้องทันที บางครั้งมันก็ทำให้เด็กล้มชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และชอบทำร้ายเขาอยู่เรื่อย 40ผมได้ขอร้องให้พวกศิษย์ของท่านขับมันออกไป แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”
41พระเยซูจึงตอบว่า “พวกขาดความเชื่อและหัวดื้อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาลูกคุณมานี่ซิ”
42เมื่อเด็กนั้นกำลังเดินเข้ามา ผีชั่วก็ทำให้เขาล้มลงชักดิ้นชักงอกับพื้น พระเยซูได้ตวาดไล่ผีชั่วนั้นออกไป และรักษาเด็กคนนั้น แล้วส่งคืนให้กับพ่อของเขา 43ทุกคนต่างพากันประหลาดใจมากถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
พระเยซูพูดถึงการตายของพระองค์
(มธ. 17:22-23; มก. 9:30-32)
ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่พระเยซูทำนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกศิษย์ว่า 44“ตั้งใจฟังให้ดีในสิ่งที่เราจะบอก บุตรมนุษย์ จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์” 45แต่พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร เพราะความหมายถูกซ่อนไปจากใจของพวกเขา ก็เลยไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม
คนที่สำคัญที่สุด
(มธ. 18:1-5; มก. 9:33-37)
46พวกเขาเริ่มเถียงกันว่า ในกลุ่มพวกเขาใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด 47พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ พระองค์จึงพาเด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆพระองค์ 48แล้วพูดกับพวกศิษย์ว่า “คนที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นก็ต้อนรับเรา และคนที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย คนที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่พวกคุณนั่นล่ะคือคนที่สำคัญที่สุด”
คนที่ไม่ได้ต่อต้านคุณก็อยู่ฝ่ายคุณ
(มก. 9:38-40)
49ยอห์นพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออกโดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเรา”
50พระเยซูพูดกับยอห์นว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านคุณก็เป็นพวกคุณอยู่แล้ว”
หมู่บ้านของชาวสะมาเรีย
51เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ พระองค์ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเมืองเยรูซาเล็ม 52พระองค์จึงส่งศิษย์บางคนล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านของชาวสะมาเรีย เพื่อจัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมสำหรับพระองค์ 53แต่คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นว่าพระองค์ตั้งใจจะไปเมืองเยรูซาเล็ม 54เมื่อยากอบและยอห์น ศิษย์ของพระองค์เห็นอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ จะให้เราสั่งไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญคนพวกนี้ให้สิ้นซากไปเลยดีไหมครับ”#9:54 ข้อนี้ สำเนากรีกบางฉบับเพิ่มเติมว่า “เหมือนกับที่เอลียาห์เคยทำมา”
55แต่พระเยซูหันมาต่อว่าพวกเขา#9:55 ข้อนี้ สำเนากรีกบางฉบับจะเพิ่มเติมว่า “พระเยซูพูดว่า ‘คุณไม่รู้หรือว่าจิตวิญญาณแบบไหนที่เป็นเจ้าของพวกคุณ ข้อ 56 บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อทำลายจิตวิญญาณมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา’” 56แล้วออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านอื่น
จะติดตามพระเยซูต้องทำอย่างไร
(มธ. 8:19-22)
57ขณะที่พวกเขากำลังเดินไปตามถนน มีชายคนหนึ่งพูดกับพระเยซูว่า “ไม่ว่าอาจารย์จะไปที่ไหน ผมจะติดตามไปด้วย”
58พระเยซูจึงตอบไปว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง นกยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน”
59พระองค์พูดกับอีกคนหนึ่งว่า “ตามเรามา” แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ขออนุญาตไปฝังศพพ่อก่อนนะครับ”
60พระเยซูจึงบอกว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายกันเองเถอะ ส่วนคุณให้ไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้าเถอะ”
61ชายอีกคนหนึ่งพูดว่า “ผมจะตามพระองค์ไปแน่ แต่ขอกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อนนะครับ”
62พระเยซูจึงตอบว่า “ถ้าคนที่จับคันไถแล้วยังห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ คนนั้นก็ไม่เหมาะสมกับอาณาจักรของพระเจ้า”
ที่ได้เลือกล่าสุด:
:
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
Bible League International