มาระโก 9
9
1แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนในที่นี้จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาพร้อมกับฤทธิ์เดชเสียก่อน”
พระเยซูอยู่กับโมเสส และเอลียาห์
(มธ. 17:1-13; ลก. 9:28-36)
2หกวันต่อมาพระเยซูได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงกัน แล้วลักษณะของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา 3เสื้อผ้าของพระองค์กลายเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววับ ขาวกว่าที่คนฟอกผ้าในโลกนี้จะฟอกให้ขาวขนาดนี้ได้ 4แล้วพวกเขาก็เห็นเอลียาห์กับโมเสส#9:4 เอลียาห์กับโมเสส เป็นสองผู้นำชาวอิสราเอลที่สำคัญมากในสมัยพระคัมภีร์เดิม กำลังคุยอยู่กับพระเยซู
5เปโตรบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีมากเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราจะได้สร้างเพิง ขึ้นมาสามหลัง ให้อาจารย์หลังหนึ่ง ให้โมเสสหลังหนึ่ง และให้เอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” 6(เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัวมาก)
7จากนั้นก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงพูดก้องออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา ให้เชื่อฟังท่าน”
8พวกเขาก็หันไปดูรอบๆแต่ไม่เห็นใครเลยนอกจากพระเยซู
9ขณะที่เดินลงมาจากภูเขา พระเยซูสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องที่เห็นนี้ให้ใครฟัง จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นจากความตาย
10พวกเขาก็ทำตามที่พระเยซูสั่ง แต่ก็ถามกันเองว่าที่พระองค์พูดว่า “ฟื้นขึ้นจากความตาย” หมายถึงอะไร
11พวกเขาถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกครูสอนกฎปฏิบัติถึงบอกว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน#9:11 เอลียาห์ต้องมาก่อน อ้างมาจากหนังสือ มาลาคี 4:5-6”
12พระเยซูตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์ต้องมาก่อน เพื่อมาเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ทำไมถึงได้มีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและถูกทำให้อับอายขายหน้า 13เราจะบอกให้รู้ว่า เอลียาห์ก็ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบของพวกเขา เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”
พระเยซูรักษาเด็กที่มีผีชั่วสิงอยู่
(มธ. 17:14-20; ลก. 9:37-43)
14เมื่อพวกเขาลงมาถึงที่ๆพวกศิษย์คนอื่นๆอยู่ ก็เห็นฝูงชนจำนวนมากรุมล้อมพวกศิษย์เหล่านั้น พวกครูสอนกฎปฏิบัติกำลังเถียงกับศิษย์พวกนั้นอยู่ 15เมื่อฝูงชนเห็นพระเยซู ก็รู้สึกแปลกใจมาก แล้วพากันวิ่งมาต้อนรับพระองค์
16พระเยซูถามว่า “กำลังเถียงกันเรื่องอะไร”
17ชายคนหนึ่งในฝูงชนตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมพาลูกชายมาหาท่าน เขาถูกผีชั่วสิงทำให้พูดไม่ได้ 18ทุกครั้งที่มันแผลงฤทธิ์ออกมา เด็กจะล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็งทื่อไปหมด ผมขอให้พวกศิษย์ของท่านขับผีชั่วออกให้ แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”
19แล้วพระเยซูพูดว่า “พวกขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาเด็กนั้นมานี่ซิ”
20พวกเขาก็พาเด็กมา เมื่อผีชั่วในเด็กเห็นพระเยซู มันก็ทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง ล้มลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น น้ำลายฟูมปาก
21พระเยซูก็ถามพ่อของเด็กว่า “เป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือยัง” พ่อเด็กตอบว่า “เป็นตั้งแต่เล็กๆเลยครับ 22ไอ้ผีชั่วจะฆ่าเขาหลายครั้งแล้ว ทำให้ตกลงไปในไฟบ้าง หรือตกน้ำบ้าง ถ้าอาจารย์ช่วยได้ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วยเถิด”
23พระเยซูจึงตอบว่า “ทำไมถึงพูดว่า ‘ถ้าอาจารย์ช่วยได้’ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”
24พ่อของเด็กจึงรีบร้องบอกทันทีว่า “ผมเชื่อครับ ช่วยทำให้ผมเชื่อมากขึ้นด้วยครับ”
25เมื่อพระองค์เห็นว่าคนเริ่มมามุงดูมากขึ้น พระองค์ตวาดผีชั่วว่า “ไอ้ผีชั่วที่ทำให้คนหูหนวกและเป็นใบ้ เราสั่งให้แกออกมาจากเด็กคนนั้น และอย่าได้เข้าสิงเขาอีกเป็นอันขาด”
26ผีชั่วก็กรีดร้องเสียงดัง มันทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง แล้วออกจากร่างเด็กไป เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนตายแล้ว มีเสียงบ่นกันพึมพำว่า “เขาตายแล้ว” 27แต่พระเยซูจับมือของเด็กและพยุงเขาขึ้นมา เด็กก็ลุกขึ้นยืน
28เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน พวกศิษย์มาถามพระองค์ส่วนตัวว่า “อาจารย์ ทำไมพวกเราถึงไล่ผีชั่วตัวนั้นไม่ได้ล่ะครับ”
29พระองค์บอกว่า “มีทางเดียวที่จะไล่ผีชั่วชนิดนี้ออกได้ คือต้องอธิษฐาน”#9:29 มีทางเดียว … คือต้องอธิษฐาน สำเนากรีกบางฉบับเพิ่มคำว่า “คือต้องอธิษฐานและอดอาหาร”
พระเยซูพูดถึงเรื่องความตายของพระองค์อีก
(มธ. 17:22-23; ลก. 9:43-45)
30พระเยซูและพวกศิษย์ก็เดินทางต่อโดยผ่านแคว้นกาลิลี พระเยซูไม่อยากให้ใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน เพราะกำลังสอนพวกศิษย์อยู่ พระองค์บอกเขาว่า 31“บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์ และเขาจะถูกฆ่า และหลังจากนั้นสามวันเขาจะฟื้นขึ้นจากความตาย” 32พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ไม่มีใครกล้าถาม
ใครเป็นใหญ่
(มธ. 18:1-5; ลก. 9:46-48)
33เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่อยู่ในบ้าน พระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “ในระหว่างทางพวกคุณเถียงกันเรื่องอะไร” 34ทุกคนเงียบหมด เพราะในระหว่างทางนั้นพวกเขาเถียงกันเรื่องที่ว่าใครใหญ่ที่สุด
35พระองค์จึงนั่งลงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนเข้ามา แล้วพูดว่า “ถ้าใครอยากจะเป็นใหญ่ เขาจะต้องเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดและยอมรับใช้ทุกคน”
36พระองค์เอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา พระองค์โอบเด็กนั้นไว้ แล้วสอนว่า 37“คนที่ต้อนรับเด็กเล็กๆอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา ก็เท่ากับคนนั้นได้ต้อนรับเราด้วย และคนที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับแต่เราเท่านั้น แต่ยังได้ต้อนรับผู้ที่ส่งเรามาด้วย”
คนที่ไม่ได้ต่อต้านพระเยซูก็เป็นพวกพระองค์
(ลก. 9:49-50)
38ยอห์นเล่าให้พระเยซูฟังว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออก โดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”
39แต่พระเยซูบอกว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะไม่มีใครที่อ้างชื่อเราทำสิ่งอัศจรรย์ แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็มาใส่ร้ายเรา 40คนที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็เป็นพวกเรา 41ใครก็ตามที่ให้น้ำพวกคุณดื่มเพราะพวกคุณเป็นคนของพระคริสต์ เรารับรองว่า เขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอน
โทษสำหรับผู้ที่ทำให้คนอื่นทำบาป
(มธ. 18:6-9; ลก. 17:1-2)
42ระหว่างการทำให้คนที่ต่ำต้อยคนหนึ่งในพวกนี้ที่ไว้วางใจในเราหลงไปทำบาป กับการถูกถ่วงน้ำโดยมีหินโม่แป้ง#9:42 หินโม่แป้ง นี่เป็นหินโม่แป้งขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ลาเดินรอบๆ แขวนคอไว้ อย่างหลังนี้ก็ยังจะดีกว่า 43ถ้ามือข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ตัดมันทิ้งซะ เพราะมือด้วนข้างหนึ่งแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ดีกว่ามีมือครบทั้งสองข้าง แต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ 44#9:44 ข้อนี้ สำเนากรีกฉบับหลังๆนี้บางฉบับ มีข้อ 44 ที่มีข้อความเหมือนกับ ข้อ 48 45ถ้าเท้าข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ตัดมันทิ้งซะ เพราะเท้าข้างหนึ่งด้วนแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีเท้าครบทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงไปในนรก 46#9:46 ข้อนี้ สำเนากรีกฉบับหลังๆนี้บางฉบับ มีข้อ 46 ที่มีข้อความเหมือนกับ ข้อ 48 47ถ้าตาของคุณทำให้คุณทำบาปก็ควักทิ้งซะ เพราะเหลือตาข้างเดียวแล้วได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีตาสองข้างแล้วถูกโยนลงไปในนรก 48ที่เต็มไปด้วยตัวหนอนที่ไม่มีวันตายและไฟที่ไม่มีวันดับ
49ทุกคนจะต้องถูกชำระล้าง#9:49 ถูกชำระล้าง คำนี้แปลตรงๆ ว่า หมักด้วยเกลือด้วยไฟแห่งความทุกข์”
50“เกลือนั้นดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้วพวกคุณจะทำให้มันกลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ขอให้พวกคุณมีเกลือ#9:50 เกลือ ในที่นี้อาจจะหมายถึงคนที่เป็นเพื่อน น่าคบค้าสมาคมด้วย อัธยาศัยดี แต่ไม่มีใครรู้ความหมายชัดเจน อยู่ในตัว คืออยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”
ที่ได้เลือกล่าสุด:
มาระโก 9: THA-ERV
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
Bible League International
มาระโก 9
9
1แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า มีบางคนในที่นี้จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาพร้อมกับฤทธิ์เดชเสียก่อน”
พระเยซูอยู่กับโมเสส และเอลียาห์
(มธ. 17:1-13; ลก. 9:28-36)
2หกวันต่อมาพระเยซูได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงกัน แล้วลักษณะของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา 3เสื้อผ้าของพระองค์กลายเป็นสีขาวเปล่งประกายแวววับ ขาวกว่าที่คนฟอกผ้าในโลกนี้จะฟอกให้ขาวขนาดนี้ได้ 4แล้วพวกเขาก็เห็นเอลียาห์กับโมเสส#9:4 เอลียาห์กับโมเสส เป็นสองผู้นำชาวอิสราเอลที่สำคัญมากในสมัยพระคัมภีร์เดิม กำลังคุยอยู่กับพระเยซู
5เปโตรบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ดีมากเลยที่พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราจะได้สร้างเพิง ขึ้นมาสามหลัง ให้อาจารย์หลังหนึ่ง ให้โมเสสหลังหนึ่ง และให้เอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” 6(เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัวมาก)
7จากนั้นก็มีเมฆลอยมาปกคลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงพูดก้องออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้คือลูกรักของเรา ให้เชื่อฟังท่าน”
8พวกเขาก็หันไปดูรอบๆแต่ไม่เห็นใครเลยนอกจากพระเยซู
9ขณะที่เดินลงมาจากภูเขา พระเยซูสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องที่เห็นนี้ให้ใครฟัง จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นจากความตาย
10พวกเขาก็ทำตามที่พระเยซูสั่ง แต่ก็ถามกันเองว่าที่พระองค์พูดว่า “ฟื้นขึ้นจากความตาย” หมายถึงอะไร
11พวกเขาถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกครูสอนกฎปฏิบัติถึงบอกว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน#9:11 เอลียาห์ต้องมาก่อน อ้างมาจากหนังสือ มาลาคี 4:5-6”
12พระเยซูตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์ต้องมาก่อน เพื่อมาเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ทำไมถึงได้มีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและถูกทำให้อับอายขายหน้า 13เราจะบอกให้รู้ว่า เอลียาห์ก็ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบของพวกเขา เหมือนกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”
พระเยซูรักษาเด็กที่มีผีชั่วสิงอยู่
(มธ. 17:14-20; ลก. 9:37-43)
14เมื่อพวกเขาลงมาถึงที่ๆพวกศิษย์คนอื่นๆอยู่ ก็เห็นฝูงชนจำนวนมากรุมล้อมพวกศิษย์เหล่านั้น พวกครูสอนกฎปฏิบัติกำลังเถียงกับศิษย์พวกนั้นอยู่ 15เมื่อฝูงชนเห็นพระเยซู ก็รู้สึกแปลกใจมาก แล้วพากันวิ่งมาต้อนรับพระองค์
16พระเยซูถามว่า “กำลังเถียงกันเรื่องอะไร”
17ชายคนหนึ่งในฝูงชนตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมพาลูกชายมาหาท่าน เขาถูกผีชั่วสิงทำให้พูดไม่ได้ 18ทุกครั้งที่มันแผลงฤทธิ์ออกมา เด็กจะล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็งทื่อไปหมด ผมขอให้พวกศิษย์ของท่านขับผีชั่วออกให้ แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”
19แล้วพระเยซูพูดว่า “พวกขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกคุณไปอีกนานแค่ไหน เราจะต้องอดทนกับพวกคุณไปถึงไหน พาเด็กนั้นมานี่ซิ”
20พวกเขาก็พาเด็กมา เมื่อผีชั่วในเด็กเห็นพระเยซู มันก็ทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง ล้มลงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น น้ำลายฟูมปาก
21พระเยซูก็ถามพ่อของเด็กว่า “เป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือยัง” พ่อเด็กตอบว่า “เป็นตั้งแต่เล็กๆเลยครับ 22ไอ้ผีชั่วจะฆ่าเขาหลายครั้งแล้ว ทำให้ตกลงไปในไฟบ้าง หรือตกน้ำบ้าง ถ้าอาจารย์ช่วยได้ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วยเถิด”
23พระเยซูจึงตอบว่า “ทำไมถึงพูดว่า ‘ถ้าอาจารย์ช่วยได้’ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”
24พ่อของเด็กจึงรีบร้องบอกทันทีว่า “ผมเชื่อครับ ช่วยทำให้ผมเชื่อมากขึ้นด้วยครับ”
25เมื่อพระองค์เห็นว่าคนเริ่มมามุงดูมากขึ้น พระองค์ตวาดผีชั่วว่า “ไอ้ผีชั่วที่ทำให้คนหูหนวกและเป็นใบ้ เราสั่งให้แกออกมาจากเด็กคนนั้น และอย่าได้เข้าสิงเขาอีกเป็นอันขาด”
26ผีชั่วก็กรีดร้องเสียงดัง มันทำให้เด็กชักกระตุกอย่างแรง แล้วออกจากร่างเด็กไป เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนตายแล้ว มีเสียงบ่นกันพึมพำว่า “เขาตายแล้ว” 27แต่พระเยซูจับมือของเด็กและพยุงเขาขึ้นมา เด็กก็ลุกขึ้นยืน
28เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน พวกศิษย์มาถามพระองค์ส่วนตัวว่า “อาจารย์ ทำไมพวกเราถึงไล่ผีชั่วตัวนั้นไม่ได้ล่ะครับ”
29พระองค์บอกว่า “มีทางเดียวที่จะไล่ผีชั่วชนิดนี้ออกได้ คือต้องอธิษฐาน”#9:29 มีทางเดียว … คือต้องอธิษฐาน สำเนากรีกบางฉบับเพิ่มคำว่า “คือต้องอธิษฐานและอดอาหาร”
พระเยซูพูดถึงเรื่องความตายของพระองค์อีก
(มธ. 17:22-23; ลก. 9:43-45)
30พระเยซูและพวกศิษย์ก็เดินทางต่อโดยผ่านแคว้นกาลิลี พระเยซูไม่อยากให้ใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน เพราะกำลังสอนพวกศิษย์อยู่ พระองค์บอกเขาว่า 31“บุตรมนุษย์จะต้องถูกจับส่งไปอยู่ในมือของมนุษย์ และเขาจะถูกฆ่า และหลังจากนั้นสามวันเขาจะฟื้นขึ้นจากความตาย” 32พวกศิษย์ไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ไม่มีใครกล้าถาม
ใครเป็นใหญ่
(มธ. 18:1-5; ลก. 9:46-48)
33เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่อยู่ในบ้าน พระองค์ถามพวกศิษย์ว่า “ในระหว่างทางพวกคุณเถียงกันเรื่องอะไร” 34ทุกคนเงียบหมด เพราะในระหว่างทางนั้นพวกเขาเถียงกันเรื่องที่ว่าใครใหญ่ที่สุด
35พระองค์จึงนั่งลงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนเข้ามา แล้วพูดว่า “ถ้าใครอยากจะเป็นใหญ่ เขาจะต้องเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดและยอมรับใช้ทุกคน”
36พระองค์เอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา พระองค์โอบเด็กนั้นไว้ แล้วสอนว่า 37“คนที่ต้อนรับเด็กเล็กๆอย่างนี้เพราะเห็นแก่เรา ก็เท่ากับคนนั้นได้ต้อนรับเราด้วย และคนที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับแต่เราเท่านั้น แต่ยังได้ต้อนรับผู้ที่ส่งเรามาด้วย”
คนที่ไม่ได้ต่อต้านพระเยซูก็เป็นพวกพระองค์
(ลก. 9:49-50)
38ยอห์นเล่าให้พระเยซูฟังว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับผีชั่วออก โดยอ้างชื่อของอาจารย์ พวกเราก็เลยพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”
39แต่พระเยซูบอกว่า “อย่าไปห้ามเขาเลย เพราะไม่มีใครที่อ้างชื่อเราทำสิ่งอัศจรรย์ แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็มาใส่ร้ายเรา 40คนที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็เป็นพวกเรา 41ใครก็ตามที่ให้น้ำพวกคุณดื่มเพราะพวกคุณเป็นคนของพระคริสต์ เรารับรองว่า เขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอน
โทษสำหรับผู้ที่ทำให้คนอื่นทำบาป
(มธ. 18:6-9; ลก. 17:1-2)
42ระหว่างการทำให้คนที่ต่ำต้อยคนหนึ่งในพวกนี้ที่ไว้วางใจในเราหลงไปทำบาป กับการถูกถ่วงน้ำโดยมีหินโม่แป้ง#9:42 หินโม่แป้ง นี่เป็นหินโม่แป้งขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ลาเดินรอบๆ แขวนคอไว้ อย่างหลังนี้ก็ยังจะดีกว่า 43ถ้ามือข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ตัดมันทิ้งซะ เพราะมือด้วนข้างหนึ่งแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ดีกว่ามีมือครบทั้งสองข้าง แต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ 44#9:44 ข้อนี้ สำเนากรีกฉบับหลังๆนี้บางฉบับ มีข้อ 44 ที่มีข้อความเหมือนกับ ข้อ 48 45ถ้าเท้าข้างหนึ่งของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ตัดมันทิ้งซะ เพราะเท้าข้างหนึ่งด้วนแล้วมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีเท้าครบทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงไปในนรก 46#9:46 ข้อนี้ สำเนากรีกฉบับหลังๆนี้บางฉบับ มีข้อ 46 ที่มีข้อความเหมือนกับ ข้อ 48 47ถ้าตาของคุณทำให้คุณทำบาปก็ควักทิ้งซะ เพราะเหลือตาข้างเดียวแล้วได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ยังดีกว่ามีตาสองข้างแล้วถูกโยนลงไปในนรก 48ที่เต็มไปด้วยตัวหนอนที่ไม่มีวันตายและไฟที่ไม่มีวันดับ
49ทุกคนจะต้องถูกชำระล้าง#9:49 ถูกชำระล้าง คำนี้แปลตรงๆ ว่า หมักด้วยเกลือด้วยไฟแห่งความทุกข์”
50“เกลือนั้นดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้วพวกคุณจะทำให้มันกลับมาเค็มอีกได้อย่างไร ขอให้พวกคุณมีเกลือ#9:50 เกลือ ในที่นี้อาจจะหมายถึงคนที่เป็นเพื่อน น่าคบค้าสมาคมด้วย อัธยาศัยดี แต่ไม่มีใครรู้ความหมายชัดเจน อยู่ในตัว คืออยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”
ที่ได้เลือกล่าสุด:
:
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
Bible League International