โยฮัน 6
6
ขนมบาระลีห้าอันกับปลาสองตัว
1ภายหลังนั้นพระเยซูจึงเสด็จข้ามทะเลฆาลิลาย, คือทะเลติเบเรีย. 2คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป, เพราะเขาได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่คนทั้งหลายที่ป่วยนั้น. 3แต่พระเยซูเสด็จขึ้นภูเขาและทรงนั่งลงที่นั่นกับเหล่าสาวกของพระองค์. 4ปัศคาคือการเลี้ยงของพวกยูดายนั้นใกล้จะถึงแล้ว, 5ฝ่ายพระเยซูทอดพระเนตรเห็นคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ จึงตรัสแก่ฟีลิบว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้?” 6พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิบ เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด. 7ฟีลิบทูลตอบว่า, “อาหารราคาสองร้อยบาทก็ไม่พอให้เขากินคนละเล็กละน้อย.” 8สาวกคนหนึ่ง, คืออันดะเรอาน้องชายของซีโมนเปโตร, จึงทูลพระองค์ว่า, 9“ที่นี่มีเด็กคนหนึ่งมีขนมบาระลีห้าอันกับปลาสองตัว, แต่เท่านั้นจะพออะไรสำหรับคนมากอย่างนี้?” 10พระเยซูตรัสว่า, “ให้คนทั้งหลายนั่งลงเถิด.” ที่นั่นมีหญ้าสดมาก. คนทั้งหลายจึงนั่งลง, นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 11ฝ่ายพระเยซูทรงหยิบขนมนั้นขอบพระคุณ, แล้วแจกให้แก่คนทั้งหลายที่นั่งอยู่นั้นและก็ให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา. 12เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้ว, พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “จงเก็บเดนที่เหลือนั้น, เพื่อมิให้สิ่งใดเสียไป.” 13เขาจึงเก็บเดนขนมบาระลีห้าอันซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินนั้นใส่กะบุงได้สิบสองใบเต็ม. 14เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำนั้นจึงพูดว่า, “แท้จริงท่านนี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้นที่จะเข้ามาในโลก.” 15เพราะพระเยซูทรงทราบว่าเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์, พระองค์จึงเสด็จไปยังภูเขาอีกแต่พระองค์เดียว
พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล
16เมื่อค่ำแล้วเหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ไปที่ทะเล, แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองกัปเรนาอูม. 17ครั้นมืดแล้วพระเยซูก็ยังไม่ได้เสด็จมาถึงเขา. 18ทะเลนั้นก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า. 19ครั้นเขาตีกระเชียงไปประมาณได้ร้อยยี่สิบหรือร้อยสี่สิบเส้น, เขาเห็นพระเยซูทรงดำเนินบนทะเลมาใกล้เรือ, เขาก็ตกใจกลัว. 20พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, “คือเราเอง, อย่ากลัวเลย.” 21เขาจึงยอมรับพระองค์ขึ้นบนเรือแล้วทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น
พระเยซูทรงเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิต
22ครั้นล่วงไปวันหนึ่ง ประชาชนที่อยู่ฝั่งทะเลข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าสาวกของพระองค์ลงไป, และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จกับเหล่าสาวกในลำนั้น, ไปแต่เหล่าสาวกของพระองค์เท่านั้น, 23แต่มีเรือลำอื่นมาจากติเบเรียใกล้ตำบลที่เขาได้กินขนมปังเมื่อพระเยซูได้ทรงขอบพระคุณ 24เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่อยู่ที่นั่น, เขาจึงลงเรือมาหาพระเยซูที่เมืองกัปเรนาอูม. 25ครั้นเขาพบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้วเขาทูลพระองค์ว่า, “อาจารย์เจ้าข้า, ท่านมาที่นี่เมื่อไร?” 26พระเยซูตรัสว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ท่านมาหาเรามิใช่เพราะเห็นการอัศจรรย์นั้น, แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม. 27อย่าขวนขวายด้วยอาหารที่ย่อมศูนย์หายนั้น, แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์, ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่านทั้งหลายเพราะพระบิดาคือพระเจ้าได้ทรงมอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว.” 28เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า, “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดจึงจะทำการของพระเจ้าได้?” 29พระเยซูตรัสว่า, “การของพระเจ้านั้นคือที่จะวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มานั้น.” 30เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า, “เหตุฉะนั้นท่านจะกระทำการอะไรบ้างเป็นนิมิตต์, เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้เห็นและวางใจในท่าน? ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง? 31บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในป่านั้น, เหมือนมีคำเขียนไว้ว่า, พระองค์ได้ทรงประทานอาหารจากสวรรค์ให้เขากิน.” 32พระเยซูจึงตรัสว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, อาหารที่มาจากสวรรค์นั้นโมเซมิได้ให้แก่ท่าน, แต่พระบิดาของเราได้ทรงประทานอาหารอันแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ให้แก่ท่านทั้งหลาย. 33เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์และประทานชีวิตแก่โลก.” 34เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า, “พระองค์เจ้าข้า, ขอพระองค์ทรงโปรดประทานอาหารนั้นให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอ.” 35พระเยซูตรัสว่า, “เราเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะมิได้อดอยาก, และผู้ที่วางใจในเราจะมิได้กระหายอีกเลย. 36แต่เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่าท่านได้เห็นเราแล้ว, แต่ก็ยังไม่เชื่อ 37สารพัตรที่พระบิดาได้ทรงประทานแก่เรา จะมาหาเรา, และผู้ที่มาหาเราๆ จะไม่ทิ้งเลย. 38เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อจะทำตามความประสงค์ของเราเอง, แต่เพื่อจะทำตามความประสงค์ของพระองค์ที่ทรงใช้เรามา. 39ความประสงค์ของพระบิดาที่ทรงใช้เรามานั้น, คือให้เรารักษาสารพัตรซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา, มิให้หายไปสักสิ่งเดียว, แต่ให้เป็นขึ้นมาในวันที่สุด. 40เพราะนี่แหละเป็นความประสงค์ขอพระบิดาของเรา, คือให้ทุกคนที่ได้เห็นพระบุตรและวางใจในพระบุตรนั้นมีชีวิตนิรันดร์, และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันที่สุด.”
พระบิดาทรงใช้พระเยซูมา
41พวกยูดายจึงกะซิบบ่นว่าพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า, เราเป็นทิพย์อาหารที่ลงมาจากสวรรค์.” 42เขาทั้งหลายจึงว่า, “คนนี้เป็นเยซูลูกของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเรารู้จักมิใช่หรือ เหตุไฉนคนนี้จึงพูดว่า. ‘เราได้ลงมาจาก, สวรรค์?’ ” 43พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า, “อย่าบ่นกัน. 44ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้, เว้นไว้พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะชักนำเขา, และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันที่สุด. 45มีคำเขียนไว้ในคัมภร์ศาสดาพยากรณ์ว่า, คนทั้งหลายจะเรียนรู้จากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ยินและเรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา. 46มิใช่ว่ามีผู้ใดได้เห็นพระบิดา, เว้นไว้ท่านที่มาจากพระเจ้า, ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว. 47เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์. 48เราเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิตนั้น. 49บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในป่าและตายเสียแล้ว. 50นี่แหละเป็นทิพย์อาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์, เพื่อว่าถ้าผู้ใดจะกินอาหารนี้แล้ว, ผู้นั้นจะมิได้ตาย. 51เราเป็นอาหารที่มีชีวิตอยู่ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะกินอาหารนี้, ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้นั้นคือเนื้อของเรา, ซึ่งเราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลก.” 52เหตุฉะนั้นพวกยูดายจึงเลี้ยงกันว่า, “ผู้นี้จะเอาเนื้อของตนให้เรากินอย่างไรได้?” 53พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์, ท่านไม่มีชีวิตในตัวท่าน. 54ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์, และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันที่สุด. 55เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้, และโลหิตของเราเป็นของดื่มแท้. 56ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา, ผู้นั้นอยู่ในเรา, และเราอยู่ในผู้นั้น. 57พระบิดาผู้ทรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามา, และเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด, ผู้ที่ได้กินเราผู้นั้นจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น. 58นี้แหละเป็นทิพย์อาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์, ไม่เหมือนที่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินแล้วตายเสีย. ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์.” 59คำเหล่านั้นพระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลาเมื่อกำลังสั่งสอนอยู่ในเมืองกัปเรนาอูม
ทรงสั่งสอนอยู่ในเมืองกัปเรนาอูม
60เหตุฉะนั้นเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนเมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงพูดว่า, “ถ้อยคำเหล่านั้นยากนัก, ใครจะฟังได้?” 61แต่พระเยซูเองทรงทราบว่าเหล่าสาวกบ่นถึงข้อความนั้น จึงตรัสแก่เขาว่า, “ข้อความนั้นทำให้ท่านทั้งหลายสะดุดกะดากหรือ 62ถ้าท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้นท่านจะว่าอย่างไรเล่า? 63จิตต์วิญญาณนั้นเป็นที่ให้มีชีวิต เนื้อหนังไม่สู้เป็นประโยชน์นัก ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นก็เป็นจิตต์วิญญาณและเป็นชีวิต. 64แต่ว่าในพวกท่านมีบางคนที่จะไม่เชื่อ.” เพราะพระเยซูทรงทราบแต่เดิมว่าเป็นผู้ใดที่มิได้เชื่อ, และเป็นผู้ใดที่จะมอบพระองค์ไว้. 65พระองค์ตรัสว่า, “เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า. ‘ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้, เว้นไว้พระบิดาของเราทรงโปรดประทานให้ผู้นั้น.’ ”
ศิษย์ของพระองค์หลายคนจึงท้อถอย
66ตั้งแต่นั้นมาศิษย์ของพระองค์หลายคนจึงท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก. 67เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสแก่สาวกสิบสองคนนั้นว่า, “ท่านทั้งหลายจะกลับถอยไปด้วยหรือ” 68ซีโมนเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า, “พระองค์เจ้าข้า, พวกข้าพเจ้าจะกลับไปหาผู้ใดเล่า? คำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์นั้นมีอยู่ที่พระองค์ 69และข้าพเจ้าทั้งหลายเชื่อ และมารู้แล้วว่า พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า.” 70พระเยซูตรัสตอบเขาว่า, “เราได้เลือกพวกท่านสิบสองคนนี้มิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นผีชั่ว.” 71พระองค์ได้ตรัสเล็งถึงยูดาอิศการิโอดบุตรซีโมน, เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้ที่จะมอบพระองค์ไว้, คือเป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคน
ที่ได้เลือกล่าสุด:
โยฮัน 6: TH1940
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
โยฮัน 6
6
ขนมบาระลีห้าอันกับปลาสองตัว
1ภายหลังนั้นพระเยซูจึงเสด็จข้ามทะเลฆาลิลาย, คือทะเลติเบเรีย. 2คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป, เพราะเขาได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่คนทั้งหลายที่ป่วยนั้น. 3แต่พระเยซูเสด็จขึ้นภูเขาและทรงนั่งลงที่นั่นกับเหล่าสาวกของพระองค์. 4ปัศคาคือการเลี้ยงของพวกยูดายนั้นใกล้จะถึงแล้ว, 5ฝ่ายพระเยซูทอดพระเนตรเห็นคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ จึงตรัสแก่ฟีลิบว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้?” 6พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิบ เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด. 7ฟีลิบทูลตอบว่า, “อาหารราคาสองร้อยบาทก็ไม่พอให้เขากินคนละเล็กละน้อย.” 8สาวกคนหนึ่ง, คืออันดะเรอาน้องชายของซีโมนเปโตร, จึงทูลพระองค์ว่า, 9“ที่นี่มีเด็กคนหนึ่งมีขนมบาระลีห้าอันกับปลาสองตัว, แต่เท่านั้นจะพออะไรสำหรับคนมากอย่างนี้?” 10พระเยซูตรัสว่า, “ให้คนทั้งหลายนั่งลงเถิด.” ที่นั่นมีหญ้าสดมาก. คนทั้งหลายจึงนั่งลง, นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 11ฝ่ายพระเยซูทรงหยิบขนมนั้นขอบพระคุณ, แล้วแจกให้แก่คนทั้งหลายที่นั่งอยู่นั้นและก็ให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา. 12เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้ว, พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “จงเก็บเดนที่เหลือนั้น, เพื่อมิให้สิ่งใดเสียไป.” 13เขาจึงเก็บเดนขนมบาระลีห้าอันซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินนั้นใส่กะบุงได้สิบสองใบเต็ม. 14เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำนั้นจึงพูดว่า, “แท้จริงท่านนี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้นที่จะเข้ามาในโลก.” 15เพราะพระเยซูทรงทราบว่าเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์, พระองค์จึงเสด็จไปยังภูเขาอีกแต่พระองค์เดียว
พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล
16เมื่อค่ำแล้วเหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ไปที่ทะเล, แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองกัปเรนาอูม. 17ครั้นมืดแล้วพระเยซูก็ยังไม่ได้เสด็จมาถึงเขา. 18ทะเลนั้นก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า. 19ครั้นเขาตีกระเชียงไปประมาณได้ร้อยยี่สิบหรือร้อยสี่สิบเส้น, เขาเห็นพระเยซูทรงดำเนินบนทะเลมาใกล้เรือ, เขาก็ตกใจกลัว. 20พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, “คือเราเอง, อย่ากลัวเลย.” 21เขาจึงยอมรับพระองค์ขึ้นบนเรือแล้วทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น
พระเยซูทรงเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิต
22ครั้นล่วงไปวันหนึ่ง ประชาชนที่อยู่ฝั่งทะเลข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าสาวกของพระองค์ลงไป, และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จกับเหล่าสาวกในลำนั้น, ไปแต่เหล่าสาวกของพระองค์เท่านั้น, 23แต่มีเรือลำอื่นมาจากติเบเรียใกล้ตำบลที่เขาได้กินขนมปังเมื่อพระเยซูได้ทรงขอบพระคุณ 24เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่อยู่ที่นั่น, เขาจึงลงเรือมาหาพระเยซูที่เมืองกัปเรนาอูม. 25ครั้นเขาพบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้วเขาทูลพระองค์ว่า, “อาจารย์เจ้าข้า, ท่านมาที่นี่เมื่อไร?” 26พระเยซูตรัสว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ท่านมาหาเรามิใช่เพราะเห็นการอัศจรรย์นั้น, แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม. 27อย่าขวนขวายด้วยอาหารที่ย่อมศูนย์หายนั้น, แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์, ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่านทั้งหลายเพราะพระบิดาคือพระเจ้าได้ทรงมอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว.” 28เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า, “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดจึงจะทำการของพระเจ้าได้?” 29พระเยซูตรัสว่า, “การของพระเจ้านั้นคือที่จะวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มานั้น.” 30เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า, “เหตุฉะนั้นท่านจะกระทำการอะไรบ้างเป็นนิมิตต์, เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้เห็นและวางใจในท่าน? ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง? 31บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในป่านั้น, เหมือนมีคำเขียนไว้ว่า, พระองค์ได้ทรงประทานอาหารจากสวรรค์ให้เขากิน.” 32พระเยซูจึงตรัสว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, อาหารที่มาจากสวรรค์นั้นโมเซมิได้ให้แก่ท่าน, แต่พระบิดาของเราได้ทรงประทานอาหารอันแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ให้แก่ท่านทั้งหลาย. 33เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์และประทานชีวิตแก่โลก.” 34เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า, “พระองค์เจ้าข้า, ขอพระองค์ทรงโปรดประทานอาหารนั้นให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอ.” 35พระเยซูตรัสว่า, “เราเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะมิได้อดอยาก, และผู้ที่วางใจในเราจะมิได้กระหายอีกเลย. 36แต่เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่าท่านได้เห็นเราแล้ว, แต่ก็ยังไม่เชื่อ 37สารพัตรที่พระบิดาได้ทรงประทานแก่เรา จะมาหาเรา, และผู้ที่มาหาเราๆ จะไม่ทิ้งเลย. 38เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อจะทำตามความประสงค์ของเราเอง, แต่เพื่อจะทำตามความประสงค์ของพระองค์ที่ทรงใช้เรามา. 39ความประสงค์ของพระบิดาที่ทรงใช้เรามานั้น, คือให้เรารักษาสารพัตรซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา, มิให้หายไปสักสิ่งเดียว, แต่ให้เป็นขึ้นมาในวันที่สุด. 40เพราะนี่แหละเป็นความประสงค์ขอพระบิดาของเรา, คือให้ทุกคนที่ได้เห็นพระบุตรและวางใจในพระบุตรนั้นมีชีวิตนิรันดร์, และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันที่สุด.”
พระบิดาทรงใช้พระเยซูมา
41พวกยูดายจึงกะซิบบ่นว่าพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า, เราเป็นทิพย์อาหารที่ลงมาจากสวรรค์.” 42เขาทั้งหลายจึงว่า, “คนนี้เป็นเยซูลูกของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเรารู้จักมิใช่หรือ เหตุไฉนคนนี้จึงพูดว่า. ‘เราได้ลงมาจาก, สวรรค์?’ ” 43พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า, “อย่าบ่นกัน. 44ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้, เว้นไว้พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะชักนำเขา, และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันที่สุด. 45มีคำเขียนไว้ในคัมภร์ศาสดาพยากรณ์ว่า, คนทั้งหลายจะเรียนรู้จากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ยินและเรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา. 46มิใช่ว่ามีผู้ใดได้เห็นพระบิดา, เว้นไว้ท่านที่มาจากพระเจ้า, ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว. 47เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์. 48เราเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิตนั้น. 49บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในป่าและตายเสียแล้ว. 50นี่แหละเป็นทิพย์อาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์, เพื่อว่าถ้าผู้ใดจะกินอาหารนี้แล้ว, ผู้นั้นจะมิได้ตาย. 51เราเป็นอาหารที่มีชีวิตอยู่ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะกินอาหารนี้, ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้นั้นคือเนื้อของเรา, ซึ่งเราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลก.” 52เหตุฉะนั้นพวกยูดายจึงเลี้ยงกันว่า, “ผู้นี้จะเอาเนื้อของตนให้เรากินอย่างไรได้?” 53พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์, ท่านไม่มีชีวิตในตัวท่าน. 54ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์, และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันที่สุด. 55เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้, และโลหิตของเราเป็นของดื่มแท้. 56ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา, ผู้นั้นอยู่ในเรา, และเราอยู่ในผู้นั้น. 57พระบิดาผู้ทรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามา, และเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด, ผู้ที่ได้กินเราผู้นั้นจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น. 58นี้แหละเป็นทิพย์อาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์, ไม่เหมือนที่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินแล้วตายเสีย. ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์.” 59คำเหล่านั้นพระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลาเมื่อกำลังสั่งสอนอยู่ในเมืองกัปเรนาอูม
ทรงสั่งสอนอยู่ในเมืองกัปเรนาอูม
60เหตุฉะนั้นเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนเมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงพูดว่า, “ถ้อยคำเหล่านั้นยากนัก, ใครจะฟังได้?” 61แต่พระเยซูเองทรงทราบว่าเหล่าสาวกบ่นถึงข้อความนั้น จึงตรัสแก่เขาว่า, “ข้อความนั้นทำให้ท่านทั้งหลายสะดุดกะดากหรือ 62ถ้าท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้นท่านจะว่าอย่างไรเล่า? 63จิตต์วิญญาณนั้นเป็นที่ให้มีชีวิต เนื้อหนังไม่สู้เป็นประโยชน์นัก ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นก็เป็นจิตต์วิญญาณและเป็นชีวิต. 64แต่ว่าในพวกท่านมีบางคนที่จะไม่เชื่อ.” เพราะพระเยซูทรงทราบแต่เดิมว่าเป็นผู้ใดที่มิได้เชื่อ, และเป็นผู้ใดที่จะมอบพระองค์ไว้. 65พระองค์ตรัสว่า, “เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า. ‘ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้, เว้นไว้พระบิดาของเราทรงโปรดประทานให้ผู้นั้น.’ ”
ศิษย์ของพระองค์หลายคนจึงท้อถอย
66ตั้งแต่นั้นมาศิษย์ของพระองค์หลายคนจึงท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก. 67เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสแก่สาวกสิบสองคนนั้นว่า, “ท่านทั้งหลายจะกลับถอยไปด้วยหรือ” 68ซีโมนเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า, “พระองค์เจ้าข้า, พวกข้าพเจ้าจะกลับไปหาผู้ใดเล่า? คำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์นั้นมีอยู่ที่พระองค์ 69และข้าพเจ้าทั้งหลายเชื่อ และมารู้แล้วว่า พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า.” 70พระเยซูตรัสตอบเขาว่า, “เราได้เลือกพวกท่านสิบสองคนนี้มิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นผีชั่ว.” 71พระองค์ได้ตรัสเล็งถึงยูดาอิศการิโอดบุตรซีโมน, เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้ที่จะมอบพระองค์ไว้, คือเป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคน
ที่ได้เลือกล่าสุด:
:
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society