มาระโก 10
10
พระเยซูตรัสสอนเรื่องการหย่าร้าง
(มธ. 19:1-12; ลก. 16:18)
1ฝ่ายพระเยซูได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย และเสด็จไปแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
2พวกฟาริสี มาทดลองพระองค์ทูลถามว่า <<ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตน เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่>> 3พระองค์ตรัสถามเขาว่า <<โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร>> 4เขาทูลตอบว่า <<โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าให้>>#ฉธบ. 24:1-4; มธ. 5:31 5พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า <<โมเสสได้เขียนบัญญัติข้อนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าดื้อดึง 6แต่ตั้งแต่เดิมสร้างโลก พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง#ปฐก. 1:27; 5:2 7เพราะเหตุนั้นบุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา 8และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน#ปฐก. 2:24 เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน 9เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย>>
10เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว เหล่าสาวกทูลถามพระองค์อีกถึงเรื่องนั้น 11พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า <<ถ้าผู้ใดหย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ได้ผิดประเวณีต่อภรรยาเดิม 12และถ้าหญิงเองจะหย่าสามีของตน แล้วไปมีสามีใหม่ หญิงนั้นก็ผิดประเวณีเหมือนกัน>>#มธ. 5:32; 1 คร. 7:10-11
พระเยซูทรงอวยพระพรเด็กเล็กๆ
(มธ. 19:13-15; ลก. 18:15-17)
13ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้ 14เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า <<จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น 15เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้>>#มธ. 18:3 16แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้
เรื่องเศรษฐีหนุ่ม
(มธ. 19:16-30; ลก. 18:18-30)
17เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า <<ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์>> 18พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า <<ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว 19ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า <อย่าฆ่าคน#อพย. 20:13; ฉธบ. 5:17 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา#อพย. 20:14; ฉธบ. 5:18 อย่าลักทรัพย์#อพย. 20:15; ฉธบ. 5:19 อย่าเป็นพยานเท็จ#อพย. 20:16; ฉธบ. 5:20 อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน#อพย. 20:12; ฉธบ. 5:16> >> 20คนนั้นจึงทูลพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา>> 21พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขาแล้วตรัสว่า <<ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา>> 22เมื่อเขาได้ยินคำนั้น หน้าของเขาก็สลดลง แล้วคนนั้นออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
23พระเยซูจึงทอดพระเนตรรอบๆ แล้วตรัสแก่เหล่าสาวกว่า <<คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงหนา>> 24เหล่าสาวกก็ประหลาดใจด้วยพระวจนะของพระองค์ แต่พระเยซูตรัสแก่เขาอีกว่า <<ลูกเอ๋ย คนที่วางใจในทรัพย์สมบัติ จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงหนา 25ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า>> 26เหล่าสาวกก็ประหลาดใจยิ่งนักจึงทูลว่า <<ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้>> 27พระเยซูทอดพระเนตรเหล่าสาวกแล้วตรัสว่า <<ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง>> 28ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า <<นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา>> 29พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา 30ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ 31แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น>>#มธ. 20:16; ลก. 13:30
พระเยซูทรงทำนายถึงมรณกรรม ของพระองค์ครั้งที่สาม
(มธ. 20:17-19; ลก. 18:31-34)
32เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และคนที่เดินมาข้างหลังก็หวาดกลัว พระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น 33ว่า <<นี่แน่ะ เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ 34คนต่างชาตินั้นจะเยาะเย้ยท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน จะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่านเสีย และวันที่สามท่านจึงจะเป็นขึ้นมาใหม่>>
คำทูลขอของยากอบและยอห์น
(มธ. 20:20-28)
35ฝ่ายยากอบกับยอห์นบุตรของเศเบดีเข้ามาทูลพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้พระองค์ ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์>> 36พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<ท่านทั้งสองปรารถนาจะให้เราทำสิ่งใดให้ท่าน>> 37เขาจึงทูลตอบว่า <<เมื่อพระองค์จะทรงพระสิรินั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง>> 38พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า <<ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือและบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ>>#ลก. 12:50 39เขาทั้งสองทูลตอบว่า <<ได้พระเจ้าข้า>> พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า <<ถ้วยซึ่งเราดื่มท่านจะดื่มเป็นแน่ และบัพติศมาที่เรารับท่านจะรับก็จริง 40แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น>> 41เมื่อสาวกสิบคนได้ยินแล้วก็มีความขุ่นเคืองยากอบและยอห์น 42พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า <<ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ 43แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่#ลก. 22:25-26 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย 44และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง#มธ. 23:11; มก. 9:35; ลก. 22:26 45เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก>>
บารทิเมอัสตาบอดเห็นได้
(มธ. 20:29-34; ลก. 18:35-43)
46ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกและประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อ บารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทาง 47เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงร้องเสียงดังว่า <<ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด>> 48มีหลายคนห้ามให้เขานิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า <<บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด>> 49พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่ แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้น ว่าแก่เขาว่า <<จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิด พระองค์ทรงเรียกเจ้า>> 50คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสีย ลุกขึ้นมาหาพระเยซู 51พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า <<เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า>> คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดให้ตาข้าพระองค์เห็นได้>> 52พระเยซูตรัสแก่เขาว่า <<จงไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายปกติแล้ว>> ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้ และได้เดินทางตามพระองค์ไป
ที่ได้เลือกล่าสุด:
มาระโก 10: TH1971
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
มาระโก 10
10
พระเยซูตรัสสอนเรื่องการหย่าร้าง
(มธ. 19:1-12; ลก. 16:18)
1ฝ่ายพระเยซูได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย และเสด็จไปแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
2พวกฟาริสี มาทดลองพระองค์ทูลถามว่า <<ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตน เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่>> 3พระองค์ตรัสถามเขาว่า <<โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร>> 4เขาทูลตอบว่า <<โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าให้>>#ฉธบ. 24:1-4; มธ. 5:31 5พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า <<โมเสสได้เขียนบัญญัติข้อนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าดื้อดึง 6แต่ตั้งแต่เดิมสร้างโลก พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง#ปฐก. 1:27; 5:2 7เพราะเหตุนั้นบุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา 8และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน#ปฐก. 2:24 เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน 9เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย>>
10เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว เหล่าสาวกทูลถามพระองค์อีกถึงเรื่องนั้น 11พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า <<ถ้าผู้ใดหย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ได้ผิดประเวณีต่อภรรยาเดิม 12และถ้าหญิงเองจะหย่าสามีของตน แล้วไปมีสามีใหม่ หญิงนั้นก็ผิดประเวณีเหมือนกัน>>#มธ. 5:32; 1 คร. 7:10-11
พระเยซูทรงอวยพระพรเด็กเล็กๆ
(มธ. 19:13-15; ลก. 18:15-17)
13ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้ 14เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า <<จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น 15เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้>>#มธ. 18:3 16แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้
เรื่องเศรษฐีหนุ่ม
(มธ. 19:16-30; ลก. 18:18-30)
17เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า <<ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์>> 18พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า <<ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว 19ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า <อย่าฆ่าคน#อพย. 20:13; ฉธบ. 5:17 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา#อพย. 20:14; ฉธบ. 5:18 อย่าลักทรัพย์#อพย. 20:15; ฉธบ. 5:19 อย่าเป็นพยานเท็จ#อพย. 20:16; ฉธบ. 5:20 อย่าฉ้อเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน#อพย. 20:12; ฉธบ. 5:16> >> 20คนนั้นจึงทูลพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา>> 21พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขาแล้วตรัสว่า <<ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา>> 22เมื่อเขาได้ยินคำนั้น หน้าของเขาก็สลดลง แล้วคนนั้นออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
23พระเยซูจึงทอดพระเนตรรอบๆ แล้วตรัสแก่เหล่าสาวกว่า <<คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงหนา>> 24เหล่าสาวกก็ประหลาดใจด้วยพระวจนะของพระองค์ แต่พระเยซูตรัสแก่เขาอีกว่า <<ลูกเอ๋ย คนที่วางใจในทรัพย์สมบัติ จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงหนา 25ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า>> 26เหล่าสาวกก็ประหลาดใจยิ่งนักจึงทูลว่า <<ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้>> 27พระเยซูทอดพระเนตรเหล่าสาวกแล้วตรัสว่า <<ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง>> 28ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า <<นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา>> 29พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา 30ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ 31แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น>>#มธ. 20:16; ลก. 13:30
พระเยซูทรงทำนายถึงมรณกรรม ของพระองค์ครั้งที่สาม
(มธ. 20:17-19; ลก. 18:31-34)
32เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และคนที่เดินมาข้างหลังก็หวาดกลัว พระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น 33ว่า <<นี่แน่ะ เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ 34คนต่างชาตินั้นจะเยาะเย้ยท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน จะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่านเสีย และวันที่สามท่านจึงจะเป็นขึ้นมาใหม่>>
คำทูลขอของยากอบและยอห์น
(มธ. 20:20-28)
35ฝ่ายยากอบกับยอห์นบุตรของเศเบดีเข้ามาทูลพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้พระองค์ ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์>> 36พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<ท่านทั้งสองปรารถนาจะให้เราทำสิ่งใดให้ท่าน>> 37เขาจึงทูลตอบว่า <<เมื่อพระองค์จะทรงพระสิรินั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง>> 38พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า <<ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือและบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ>>#ลก. 12:50 39เขาทั้งสองทูลตอบว่า <<ได้พระเจ้าข้า>> พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า <<ถ้วยซึ่งเราดื่มท่านจะดื่มเป็นแน่ และบัพติศมาที่เรารับท่านจะรับก็จริง 40แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น>> 41เมื่อสาวกสิบคนได้ยินแล้วก็มีความขุ่นเคืองยากอบและยอห์น 42พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า <<ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ 43แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่#ลก. 22:25-26 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย 44และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง#มธ. 23:11; มก. 9:35; ลก. 22:26 45เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก>>
บารทิเมอัสตาบอดเห็นได้
(มธ. 20:29-34; ลก. 18:35-43)
46ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกและประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อ บารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทาง 47เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงร้องเสียงดังว่า <<ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด>> 48มีหลายคนห้ามให้เขานิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า <<บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด>> 49พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่ แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้น ว่าแก่เขาว่า <<จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิด พระองค์ทรงเรียกเจ้า>> 50คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสีย ลุกขึ้นมาหาพระเยซู 51พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า <<เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า>> คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดให้ตาข้าพระองค์เห็นได้>> 52พระเยซูตรัสแก่เขาว่า <<จงไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายปกติแล้ว>> ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้ และได้เดินทางตามพระองค์ไป
ที่ได้เลือกล่าสุด:
:
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก
ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้