มัทธิว 13:18-35

มัทธิว 13:18-35 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

ฟัง​ให้​ดี นี่​คือ​ความหมาย​ของ​เรื่อง​ชาวนา​ที่​หว่าน​เมล็ดพืช เมล็ดพืช​ที่​ตก​ตาม​ถนน​หนทาง คือ​คน​ที่​ฟัง​เรื่อง​อาณาจักร​ของ​พระเจ้า​แต่​ไม่​เข้าใจ มารร้าย​ก็​มา​ฉกฉวย​เอา​พืช​ที่​หว่าน​อยู่​ใน​ใจ​ของ​เขา​ไป เมล็ดพืช​ที่​ตก​บน​ดิน​ตื้นๆ​ที่​มี​หิน​อยู่​ข้าง​ล่าง คือ​คน​ที่​เมื่อ​ได้ยิน​ถ้อยคำ​แล้ว ก็​รีบ​รับ​ไว้​ทันที​และ​มี​ความสุข​ทีเดียว แต่​ถ้อยคำ​ไม่​ได้​ฝัง​ลึก​เข้า​ไป​ใน​จิตใจ จึง​อยู่​ได้​ไม่​นาน เมื่อ​เกิด​เรื่อง​ทุกข์ร้อน​หรือ​ถูก​ข่มเหง​รังแก​เพราะ​ถ้อยคำ​นั้น ก็​รีบ​ทิ้ง​ถ้อยคำ​นั้น​ทันที เมล็ดพืช​ที่​ตกลง​ใน​พงหนาม​นั้น คือ​คน​ที่​ฟัง​ถ้อยคำ แต่​ยัง​เป็น​ห่วง​กังวล​เกี่ยว​กับ​ชีวิต​ใน​โลกนี้ และ​หลงไหล​ใน​ทรัพย์​สมบัติ สิ่ง​เหล่านี้​มา​คลุม​ถ้อยคำ​ไว้ เลย​ไม่​เกิด​ผล ส่วน​เมล็ดพืช​ที่​ตกลง​ใน​ดิน​ดี​นั้น คือ​คน​ที่​ได้​ฟัง​ถ้อยคำ​แล้ว​เข้าใจ จึง​เกิด​ผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หกสิบ​เท่า​บ้าง สามสิบ​เท่า​บ้าง” พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์ เปรียบ​เหมือน​กับ​คน​ที่​หว่าน​เมล็ด​พันธุ์​ดี​ใน​นา​ของ​เขา แต่​ใน​คืน​นั้น เมื่อ​ทุก​คน​หลับ​หมด ศัตรู​ของ​เขา​ได้​เข้า​มา​หว่าน​เมล็ด​วัชพืช​ลง​ไป​ใน​นา​ข้าว​สาลี แล้ว​ก็​ไป เมื่อ​ต้น​ข้าว​สาลี​ออก​รวง ต้น​วัชพืช​ก็​งอก​งาม​ขึ้น​มา​ด้วย พวก​คนใช้​มา​ถาม​เขา​ว่า ‘นาย​ครับ นาย​หว่าน​เมล็ด​พันธุ์​ดี​ลง​ไป​ใน​นา​นี่​ครับ แล้ว​ต้น​วัชพืช​โผล่​มา​ได้​อย่างไร​ครับ’ เขา​ตอบ​ไป​ว่า ‘เป็น​ฝีมือ​ของ​ศัตรู’ คนใช้​ถาม​ต่อว่า ‘นาย​จะ​ให้​พวก​เรา​ไป​ถอน​ต้น​วัชพืช​ทิ้ง​ไหม​ครับ’ เขา​ตอบ​ว่า ‘ไม่​ต้อง​หรอก เพราะ​กลัว​ว่า​จะ​ถอน​ข้าว​สาลี​ติด​ไป​กับ​ต้น​วัชพืช​ด้วย ปล่อย​ให้​มัน​เติบโต​ไป​ด้วย​กัน​จน​ถึง​ฤดู​เก็บเกี่ยว แล้ว​ข้า​จะ​สั่ง​ให้​คน​งาน​เก็บ​ต้น​วัชพืช​ก่อน แล้ว​มัด​เข้า​ด้วย​กัน เอา​ไป​เผา​ไฟ แล้ว​จึง​ค่อย​มา​เก็บ​ข้าว​สาลี​ไป​ไว้​ใน​ยุ้งฉาง​ของ​ข้า’” พระเยซู​ยัง​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​เมล็ด​มัสตาร์ด​เมล็ด​หนึ่ง ที่​ชาวนา​เอา​ไป​ปลูก​ไว้​ใน​ไร่​ของ​เขา มัน​เป็น​เมล็ด​ที่​เล็ก​ที่​สุด​ใน​จำนวน​เมล็ด​ทั้งหมด แต่​เมื่อ​มัน​โต​ขึ้น​มา มัน​กลับ​สูง​ใหญ่​กว่า​พืช​สวนครัว​ทั้งหมด​และ​กลาย​เป็น​ต้น​ที่​นก​มา​ทำ​รัง​ตาม​กิ่ง​ก้าน​ของ​มัน​ได้” แล้ว​พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​กับ​เชื้อฟู ที่​ผู้หญิง​คน​หนึ่ง​ผสม​ลง​ไป​ใน​แป้ง​สามถัง แล้ว​มัน​ก็​ทำ​ให้​แป้ง​ทั้ง​ก้อน​ฟู​ขึ้น​มา” พระเยซู​เล่า​เรื่อง​พวกนี้​ให้​ฟัง และ​ใช้​เรื่อง​เปรียบ​เทียบ​ทั้งหมด ไม่​มี​สัก​เรื่อง​เลย ที่​ไม่​ได้​ใช้​เรื่อง​เปรียบเทียบ​เล่า ซึ่ง​ก็​เป็น​จริง​ตาม​ที่​ผู้พูดแทนพระเจ้า​พูด​ไว้​ว่า

มัทธิว 13:18-35 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชนั้น เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย บรรดาทาสของเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านไม่ใช่หรือ? แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?’ นายก็ตอบว่า ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’ ทาสเหล่านั้นจึงถามว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้เราไปถอนและเก็บข้าวละมานไหม?’ แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งบรรดาผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของเรา” ’ ” พระองค์ยังตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และเติบโตเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้” พระองค์ยังตรัสอุปมาให้พวกเขาฟังอีกเรื่องหนึ่งว่า “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมา และนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า “เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”

มัทธิว 13:18-35 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

เหตุ​ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพื​ชน​ั้น เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจั​กรน​ั้นแต่​ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้​แก่​ผู้​ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง และผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกในที่​ดิ​นซึ่​งม​ีพื้นหินนั้น ได้แก่​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะ แล้วก็​รั​บท​ั​นที​ด้วยความปรี​ดี แต่​ไม่มี​รากในตัวเองจึงทนอยู่​ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย ผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่​บุ​คคลที่​ได้​ฟังพระวจนะ แล​้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์​สมบัติ​ก็​รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่​เกิดผล ส่วนผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกในดินดี​นั้น ได้แก่​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้​นก​็​เก​ิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” พระองค์​ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่​เมื่อคนทั้งหลายนอนหลั​บอย​ู่ ศัตรู​ของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็​หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย พวกผู้​รับใช้​แห่​งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิ​ใช่​หรือ แต่​มี​ข้าวละมานมาจากไหน’ นายก​็ตอบพวกเขาว่า ‘​นี้​เป็นการกระทำของศั​ตรู​’ พวกผู้​รับใช้​จึงถามนายว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’ แต่​นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกล​ือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลี​ด้วย ให้​ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดู​เกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้​เก​ี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่​ข้าวสาลี​นั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’” พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้​นที​่​จร​ิ​งก​็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่​เมื่องอกขึ้นแล้​วก​็​ใหญ่​ที่​สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่​งก​้านของต้นนั้นได้” พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟั​งอ​ีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” ข้อความเหล่านี้​ทั้งสิ้น พระเยซู​ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์​มิได้​ตรัสกับเขาเลย ทั้งนี้​เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์​ว่า ‘เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้​ตั้งแต่​เดิมสร้างโลก’

มัทธิว 13:18-35 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

<<เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง>> พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า <นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน> นายก็ตอบว่า <นี่เป็นการกระทำของศัตรู> พวกทาสจึงถามว่า <ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ> แต่นายตอบว่า <อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า <จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา> >> พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้>> พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด>> ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะ ที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก

มัทธิว 13:18-35 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

“จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมากคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสียทำให้ไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชซึ่งตกในดินดีนั้นคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป” พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของตน แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ศัตรูของเขามาหว่านวัชพืชแทรกปนกับข้าวสาลีแล้วก็จากไป เมื่อข้าวสาลีงอกและออกรวง วัชพืชก็ปรากฏขึ้นด้วย “คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายขอรับ ท่านหว่านข้าวดีในนาไม่ใช่หรือ? ก็แล้ววัชพืชมาจากไหน?’ “นายตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’ “คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราไปถอนทิ้งดีไหม?’ “นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืชเจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีขึ้นมาด้วย ให้ทั้งคู่งอกขึ้นไปด้วยกันจนถึงเวลาเกี่ยว ถึงตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวให้เก็บวัชพืชก่อนและมัดเป็นฟ่อนนำไปเผาไฟ แล้วเก็บข้าวสาลีนำมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’” พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นก็ใหญ่ที่สุดในสวนและกลายเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง” แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” ทั้งหมดนี้พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลยนอกจากคำอุปมา ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก”

มัทธิว 13:18-35 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

จง​ฟัง​เรื่อง​อุปมา​ของ​ชาวไร่​คนนั้น เมื่อ​ผู้​ใด​ได้ยิน​เรื่อง​ของ​อาณาจักร แล้ว​ไม่​เข้าใจ​ก็​เหมือน​เมล็ดพืช​ที่​หว่าน​ไว้​ตามทาง มารร้าย​มา​ปล้น​สิ่ง​ที่​ได้​หว่าน​ไว้​ใน​จิตใจ​ของ​เขา เมล็ดพืช​ที่​ตกลง​บน​หิน​ซึ่ง​มี​ผิวดิน​เพียง​เล็กน้อย​เปรียบ​เสมือน​คน​ที่​ได้ยิน​คำกล่าว​และ​รับไว้​ทันที​ด้วย​ความ​ยินดี แต่​เขา​ไม่​มี​รากฐาน​อัน​มั่นคง​ใน​ตัว จึง​คงอยู่​ได้​เพียง​ชั่วคราว​เท่า​นั้น เมื่อ​เกิด​ความ​ลำบาก​หรือ​การ​ข่มเหง​อัน​เนื่อง​มาจาก​คำกล่าว เขา​ก็​ล้มเลิก​ความ​เชื่อ​เสีย​ทันที ส่วน​เมล็ดพืช​ที่​หว่าน​ไว้​ท่าม​กลาง​ไม้หนาม​เปรียบ​เสมือน​คน​ที่​ได้ยิน​คำกล่าว แล้ว​ความ​กังวล​ต่างๆ ใน​โลก และ​แรง​ดึงดูด​ของ​ความ​ร่ำรวย​เข้า​แทรกซ้อน​คำกล่าว จึง​ทำ​ให้​ไม่​บังเกิด​ผล เมล็ดพืช​ที่​ตก​บน​ดิน​ดี​เปรียบ​เสมือน​คน​ที่​ได้ยิน​คำกล่าว และ​เข้าใจ จึง​เกิด​ผล​แท้จริง​เป็น 100 เท่า 60 และ 30 เท่า” พระ​องค์​เล่า​เรื่อง​เป็น​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง​อีกว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​กับ​ชาวไร่​คนหนึ่ง​ที่​ได้​ใช้​เมล็ดพืช​ดี​หว่าน​ใน​นา​ของ​เขา ขณะที่​คน​นอน​หลับ​กัน ศัตรู​ของ​เขา​มา​หว่าน​เมล็ด​วัชพืช​ปนกับ​เมล็ด​ข้าว แล้ว​หนี​ไป เมื่อ​ข้าว​งอกขึ้น​จน​ออก​รวง วัชพืช​ก็​งอกขึ้น​เช่น​กัน บรรดา​ทาส​รับใช้​ของ​เจ้าของ​ที่ดิน​มา​ถาม​เขา​ว่า ‘เจ้านาย ท่าน​ได้​หว่าน​เมล็ด​ดี​ใน​นา​ของ​ท่าน​มิ​ใช่​หรือ แล้ว​มี​วัชพืช​ด้วย​ได้​อย่างไร’ เขา​ตอบ​ทาส​รับใช้​ว่า ‘ศัตรู​เป็น​คน​กระทำ’ ทาส​รับใช้​พูด​ว่า ‘ถ้า​เช่นนั้น​แล้ว ท่าน​จะ​ให้​เรา​ไป​ถอน​มัน​ทิ้ง​ไหม’ แต่​นาย​ตอบ​ว่า ‘อย่า​เลย เพราะ​หากว่า​เจ้า​ถอน​วัชพืช​ออก เจ้า​อาจจะ​พลอย​ถอน​ข้าว​ดี​ไป​ด้วย ปล่อย​ทั้ง​สอง​ชนิด​ให้​โต​ไป​ด้วย​กัน​จนถึง​เวลา​เก็บ​เกี่ยว เมื่อ​ถึง​เวลา​นั้น​แล้ว เรา​จะ​สั่ง​คน​เกี่ยว​ว่า “มัด​รวบ​รวม​วัชพืช​แล้ว​เผา​ไฟ​เสียก่อน แล้ว​จึง​ค่อย​เก็บ​ข้าว​ไว้​ใน​ยุ้ง​ของ​เรา”’” พระ​องค์​เล่า​เรื่อง​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง​อีก​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​เมล็ด​พันธุ์​จิ๋ว​ที่​ชาย​คน​หนึ่ง​เอา​ไป​ปลูก​ใน​นา​ของ​เขา เมล็ด​นี้​เล็ก​ที่สุด​ใน​บรรดา​เมล็ด​พืช​อื่นๆ แต่​เมื่อ​เติบโต​เต็มที่​แล้ว มัน​มี​ขนาด​ใหญ่​กว่า​บรรดา​พืช​สวน​ชนิด​อื่น จน​กลาย​เป็น​ต้นไม้​ที่​ฝูง​นก​เข้า​พักพิง​อาศัย​ได้​ตาม​กิ่ง​ของ​มัน” พระ​องค์​กล่าว​เป็น​อุปมา​อีกว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​เชื้อ​ยีสต์​ที่​หญิง​คน​หนึ่ง​เอา​ไป​ผสม​ใน​แป้ง 3 ถัง​จน​แป้ง​ขึ้น​ฟู​ทั้ง​หมด” พระ​เยซู​เล่า​เรื่อง​เหล่า​นี้​ให้​ฝูง​ชน​ฟัง​เป็น​อุปมา พระ​องค์​ไม่​ได้​กล่าว​สิ่งใด​โดย​ไม่​ใช้​คำ​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง เพื่อ​เป็นไป​ตามที่​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​กล่าวไว้​คือ “เรา​จะ​เปิด​ปาก​ของ​เรา​กล่าว​คำ​อุปมา เรา​จะ​เล่า​เรื่อง​ที่​ซ่อนเร้น​ตั้งแต่​แรก​สร้าง​โลก”