โรม 4:1-25

โรม 4:1-25 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไรในเรื่องอับราฮัมบรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต ถ้าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? ก็ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม ” ส่วนคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้นพระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรม โดยไม่อาศัยการประพฤติ ว่า “คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงยกการอธรรมของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้ว ก็เป็นสุข บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข” ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัต หรือว่ามีแก่พวกไม่เข้าสุหนัตด้วย? เรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเอง พระองค์ทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม” แต่พระเจ้าทรงถืออย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว หรือเมื่อยังไม่เข้าสุหนัต? ไม่ใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่เข้าสุหนัต และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตรารับรองความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อ ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อพระเจ้าจะทรงถือว่าเขาเป็นคนชอบธรรมด้วย และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเรา ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและลูกหลานของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ ถ้าพวกที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไร้ความหมาย และพระสัญญาก็เป็นโมฆะ เพราะธรรมบัญญัตินำไปสู่พระพิโรธ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิด เพราะเหตุนี้ การเป็นทายาทนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อรับรองพระสัญญานั้นแก่ลูกหลานของอับราฮัมทุกคน ไม่ใช่แก่ลูกหลานที่ถือธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่แก่ลูกหลานที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคน ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนหลายชาติ” เฉพาะพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้ชีวิตแก่คนที่ตายแล้ว และทรงเรียกสิ่งที่ยังไม่ได้เกิด ให้มีขึ้น แม้ดูว่าจะหมดหวังแล้ว แต่อับราฮัมยังเชื่อว่าจะได้เป็น “บิดาของชนหลายชาติ” ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น” ความเชื่อของท่านไม่ได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว (เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว) และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน ท่านไม่ได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคง จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งที่ทรงสัญญาได้ ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม แต่ข้อความว่า “ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม” นั้น ไม่ได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว แต่สำหรับเราด้วย ที่ทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นขึ้นจากความตาย คือพระเยซูผู้ทรงถูกมอบให้ถึงความตาย เพราะการล่วงละเมิดของเรา คือผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม

แบ่งปัน
อ่าน โรม 4

โรม 4:1-25 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

แล้ว​เรา​ได้​รับรู้​อะไร​เกี่ยวกับ​อับราฮัม​บรรพบุรุษ​ของ​ชนชาติ​ยิว​เรา เพราะ​ถ้า​พระเจ้า​ยอมรับ​อับราฮัม​เพราะ​การ​กระทำ​ทั้งหลาย​ของ​ท่าน ท่าน​ก็​มี​สิทธิ์​ที่​จะ​โอ้อวด​ได้ แต่​จริงๆ​แล้ว​ใน​สายตา​ของ​พระเจ้า ท่าน​ไม่​มี​อะไร​ที่​จะ​โอ้อวด​ได้ พระคัมภีร์​เขียน​ไว้​ว่า​อย่างไร “อับราฮัม​ไว้วางใจ​พระเจ้า พระเจ้า​ก็​เลย​นับ​ว่า​ความ​ไว้วางใจ​ของ​ท่าน​นั้น​เป็น​สาเหตุ​เพียงพอ​ที่​พระองค์​จะ​ยอมรับ​ท่าน” ดู​อย่าง​คน​ที่​ทำงาน​สิ ค่าแรง​ของ​เขา​ไม่​ได้​นับ​ว่า​เป็น​ของขวัญ​จาก​นาย​จ้าง แต่​เป็น​สิ่ง​ที่​เขา​สมควร​จะ​ได้รับ​อยู่​แล้ว ส่วน​คน​ที่​ไม่​ทำงาน แต่​กลับ​ไว้วางใจ​ใน​พระเจ้า พระเจ้า​ก็​ยอมรับ​เขา​ถึง​แม้​เขา​ทำ​บาป พระองค์​ก็​นับ​ความ​ไว้วางใจ​นี้​เป็น​เหตุ​เพียงพอ​ที่​จะ​ยอมรับ​เขา คน​ที่​พระเจ้า​ยอมรับ​โดย​ไม่​ได้​นับ​ว่า​การ​งาน​ที่​เขา​ทำ​ไป​นั้น กษัตริย์​ดาวิด​ได้​พูด​ถึง​เกียรติ​ของ​คน​แบบนี้​ว่า “เมื่อ​พระเจ้า​ยกโทษ​ให้​กับ​ความผิด​ที่​คน​ทำ และ​กลบ​เกลื่อน​ความบาป​ของ​เขา ถือ​ว่า​เป็น​เกียรติ​จริงๆ เมื่อ​องค์​เจ้า​ชีวิต​ไม่​ได้​นับ​ความผิด​ของ​เขา นั่น​นับว่า​เป็น​เกียรติ​จริงๆ” เกียรตินี้​มี​ไว้​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​พิธี​ขลิบ​เท่านั้น​หรือ มัน​มี​ไว้​สำหรับ​คน​ที่​ไม่​ได้​ทำ​พิธี​ขลิบ​ด้วย​ไม่ใช่หรือ ที่​ผม​ถาม​ก็​เพราะ​เรา​พูด​ว่า “อับราฮัม​ไว้วางใจ​ใน​พระเจ้า พระเจ้า​ก็​เลย​นับ​ว่า​ความ​ไว้วางใจ​ของ​ท่าน​นั้น​ว่า​เป็น​สาเหตุ​เพียงพอ​ที่​พระองค์​จะ​ยอมรับ​ท่าน” พระเจ้า​ยอมรับ​ท่าน​ตอน​ไหน ก่อน​หรือ​หลังจาก​ที่​ท่าน​ทำ​พิธี​ขลิบ จริงๆ​แล้ว​พระเจ้า​ยอมรับ​ท่าน​ก่อน​ที่​ท่าน​จะ​ทำ​พิธี​ขลิบ​เสียอีก แล้ว​ตอนหลัง​ท่าน​ถึง​ทำ​พิธี​ขลิบ เพื่อ​ทำให้​เห็น​ว่า​พระเจ้า​ยอมรับ​ท่าน​แล้ว​เพราะ​ท่าน​มี​ความ​ไว้วางใจ​ก่อน​ที่​ท่าน​จะ​ทำ​พิธี​ขลิบ​เสียอีก ดังนั้น​อับราฮัม​จึง​กลาย​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​ทุก​คน​ที่​ไว้วางใจ​แต่​ไม่​ได้​ทำ​พิธี​ขลิบ และ​พระเจ้า​นับ​ว่า​ความ​ไว้วางใจ​ของ​พวกเขา​นี้​ว่า​เป็น​สาเหตุ​เพียงพอ​ที่​จะ​ยอมรับ​พวกเขา นอกจาก​นั้น​อับราฮัม​ก็​ยัง​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​คน​ที่​ทำ​พิธี​ขลิบ​ด้วย ถ้า​พวก​เขา​ไม่​ได้​แค่​ทำ​พิธี​ขลิบ​เท่านั้น แต่​ยัง​ดำเนิน​รอย​ตาม​อับราฮัม​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​คือ​มี​ความ​ไว้วางใจ​ใน​พระเจ้า​เหมือน​กับ​ที่​อับราฮัม​มี​ก่อน​ที่​ท่าน​จะ​ทำ​พิธี​ขลิบ พระเจ้า​สัญญา​กับ​อับราฮัม​และ​ลูก​หลาน​ของ​ท่าน​ว่า พวก​เขา​จะ​ได้รับ​โลกนี้​เป็น​มรดก แต่​ที่​พระเจ้า​สัญญา​กับ​ท่าน​อย่างนั้น ไม่​ใช่​เพราะ​ท่าน​ทำ​ตาม​กฎ แต่​เพราะ​ท่าน​ไว้วางใจ​พระเจ้า​ต่าง​หาก พระเจ้า​ถึง​ยอมรับ​ท่าน ถ้า​คน​เรา​ได้รับ​โลกนี้​เป็น​มรดก​เพราะ​การ​ทำ​ตาม​กฎ การ​ไว้วางใจ​พระเจ้า​ก็​ไม่​มี​ความหมาย​อะไร​เลย และ​สัญญา​ของ​พระองค์​ก็​ต้อง​ถูก​ยกเลิก​ไป​ด้วย เพราะ​กฎ​นำ​ไป​สู่​การ​ลง​โทษ​จาก​พระเจ้า เพราะ​คน​ทำ​ผิด​กฎ​เสมอ แต่​ถ้า​ที่​ไหน​ไม่​มี​กฎ ที่​นั่น​ก็​ไม่​มี​การ​ทำ​ผิด​กฎ ดังนั้น​คำ​สัญญา​ของ​พระเจ้า​จึง​ขึ้น​อยู่​กับ​ความ​ไว้วางใจ เพื่อ​คำ​สัญญา​นั้น​จะ​ได้​เป็น​ของขวัญ​ที่​ให้​กับ​เรา​เปล่าๆ และ​ลูกหลาน​ของ​อับราฮัม​ทุก​คน​จะ​ได้รับ​สิ่ง​ที่​พระเจ้า​สัญญา​ไว้​อย่าง​แน่นอน ไม่​ใช่​แต่​เฉพาะ​คน​ที่​อยู่​ใต้​กฎ​เท่านั้น​ที่​จะ​ได้รับ แต่​รวม​ถึง​คน​ที่​มี​ส่วนร่วม​ใน​ความ​ไว้วางใจ​ของ​อับราฮัม​ด้วย เพราะ​ท่าน​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ทุก​คน เหมือน​กับ​ที่​พระคัมภีร์​ได้​เขียน​ไว้​ว่า “เรา​ได้​ทำให้​เจ้า​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​คน​หลาย​ชนชาติ” อับราฮัม​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ต่อหน้า​พระเจ้า​ที่​ท่าน​ไว้วางใจ เป็น​พระเจ้า​ที่​ทำ​ให้​คน​ตาย​ฟื้น​ขึ้น​มา​ใหม่ และ​ทำให้​สิ่ง​ที่​ยัง​ไม่​เคย​มี​มา​ก่อน​เกิด​ขึ้น เมื่อ​พระเจ้า​สัญญา​กับ​อับราฮัม​ว่า​เขา​จะ​ได้​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​คน​หลาย​ชนชาติ ท่าน​ก็​ไว้วางใจ​และ​มี​ความหวัง​อย่าง​เต็มที่ ทั้งๆ​ที่​คำ​สัญญา​นั้น​เหลือเชื่อ แต่​ใน​ที่​สุด​ท่าน​ก็​ได้​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​คน​หลาย​ชนชาติ​จริง​ตาม​ที่​พระเจ้า​บอก​กับ​ท่าน​ว่า “ลูกหลาน​ของ​เจ้า​จะ​มี​มากมาย​เหมือน​กับ​ดวงดาว​บน​ท้องฟ้า” ความ​ไว้​วาง​ใจ​ของ​อับราฮัม​ก็​ไม่​ได้​ลด​น้อย​ลง​เลย ทั้งๆ​ที่​อับราฮัม​รู้​ว่า​ร่างกาย​ของ​ท่าน​หมด​สภาพ​เหมือน​ตาย​แล้ว (เพราะ​ท่าน​มี​อายุ​ประมาณ​หนึ่งร้อย​ปี) และ​ท่าน​ยัง​รู้​อีก​ด้วย​ว่า​ครรภ์​ของ​นาง​ซาราห์​เมีย​ของ​ท่าน​เป็น​หมัน​เหมือน​กับ​ตาย​ไป​แล้ว แต่​อับราฮัม​ไม่​เคย​สงสัย​ใน​คำ​สัญญา​ของ​พระเจ้า​เลย กลับ​มี​ความ​ไว้วางใจ​มาก​ขึ้น ซึ่ง​เป็น​การ​ให้​เกียรติ​กับ​พระเจ้า อับราฮัม​เชื่อ​อย่าง​แน่ว​แน่​ว่า พระเจ้า​สามารถ​ทำ​ใน​สิ่ง​ที่​พระองค์​ได้​สัญญา​ไว้ “พระเจ้า​จึง​นับ​ว่า​ความ​ไว้วางใจ​ของ​ท่าน​นั้น​เป็น​สาเหตุ​เพียงพอ​ที่​จะ​ยอมรับ​ท่าน” อย่าง​ที่​พระคัมภีร์​เขียน​ไว้​นั้น คำพูด​เหล่านี้​ไม่​ได้​เกี่ยวกับ​เรื่อง​ของ​อับราฮัม​เท่านั้น แต่​เกี่ยวกับ​พวก​เรา​ด้วย พระเจ้า​จะ​นับ​ว่า​ความ​ไว้วางใจ​ของ​เรา​นั้น​เป็น​สาเหตุ​เพียงพอ​ที่​จะ​ยอมรับ​เรา​ด้วย คือ​พวก​เรา​ที่​ไว้วางใจ​ใน​พระเจ้า ผู้​ทำ​ให้​พระเยซู​คริสต์เจ้า​ของ​เรา​ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความตาย เป็น​เพราะ​ความ​ผิด​บาป​ของ​เรา พระเจ้า​ถึง​ได้​มอบ​พระเยซู​ให้​คน​เอา​ไป​ฆ่า และ​พระเจ้า​ทำ​ให้​พระเยซู​ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความตาย เพื่อ​เรา​จะ​ได้​เป็น​คน​ที่​พระองค์​ยอมรับ

แบ่งปัน
อ่าน โรม 4

โรม 4:1-25 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้​ประโยชน์​อะไรตามเนื้อหนังเล่า เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการกระทำ ท่านก็​มี​ทางที่จะอวดได้ แต่​มิใช่​จำเพาะพระพักตร์​พระเจ้า ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็​ว่า ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่​ท่าน​’ ดังนั้นคนที่อาศัยการกระทำก็​ไม่​ถือว่าบำเหน็จที่​ได้​นั้นเป็นเพราะพระคุ​ณ แต่​ถือว่า บำเหน็​จน​ั้นเป็นค่าแรงของงานที่​ได้​ทำ ส่วนคนที่​มิได้​อาศัยการกระทำ แต่​ได้​เชื่อในพระองค์ ผู้​ทรงโปรดให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ ความเชื่อของคนนั้นต้องนับว่าเป็นความชอบธรรม ดังที่​ดาว​ิดได้​กล​่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นคนชอบธรรม โดยมิ​ได้​อาศัยการกระทำ ว่า ‘คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงโปรดยกความชั่วช้าของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้​วก​็​เป็นสุข บุ​คคลที่​องค์​พระผู้เป็นเจ้ามิ​ได้​ทรงถือโทษบาปของเขาก็​เป็นสุข​’ ถ้าเช่นนั้นความสุ​ขม​ี​แก่​คนที​่​เข​้าสุ​หน​ัตพวกเดียวหรือ หรือว่ามี​แก่​พวกที่​มิได้​เข​้าสุ​หน​ั​ตด​้วย เพราะเรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเองทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม” แต่​พระเจ้าทรงถืออย่างไร เมื่อท่านเข้าสุ​หน​ัตแล้วหรือ หรือเมื่อยังไม่​ได้​เข้าสุหนัต มิใช่​เมื่อท่านเข้าสุ​หน​ัตแล้วแต่เมื่อท่านยังไม่​ได้​เข้าสุหนัต และท่านได้​เข​้าสุ​หน​ัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตราแห่งความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้​มี​อยู่​เมื่อท่านยังไม่​ได้​เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่​เชื่อ ทั้งที่​เมื่อเขายังไม่​ได้​เข้าสุหนัต เพื่อจะถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้​นที​่​เข้าสุหนัต ที่​มิได้​เพียงแต่​เข​้าสุ​หน​ัตเท่านั้น แต่​มี​ความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลาย ซึ่งท่านมี​อยู่​เมื่อท่านยังไม่​ได้​เข้าสุหนัต เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่าน ที่​ว่าจะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่​ได้​มี​มาโดยพระราชบัญญั​ติ แต่​มี​มาโดยความชอบธรรมที่​เก​ิดจากความเชื่อ เพราะถ้าเขาเหล่านั้​นที​่ถือตามพระราชบัญญั​ติ​จะเป็นทายาท ความเชื่​อก​็​ไม่มี​ประโยชน์​อะไร และพระสัญญาก็เป็​นอ​ันไร้​ประโยชน์ เพราะพระราชบัญญั​ติ​นั้นกระทำให้ทรงพระพิโรธ แต่​ที่​ใดไม่​มี​พระราชบัญญัติ ที่​นั่​นก​็​ไม่มี​การละเมิดพระราชบัญญั​ติ ด้วยเหตุนี้​เองการที่​ได้​รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุ​ณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็​นที​่​แน่​ใจแก่​ผู้​สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่​แก่​ผู้​สืบเชื้อสายที่ถือพระราชบัญญั​ติ​พวกเดียว แต่​แก่​คนที​่​มี​ความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเราทุกคน (​ตามที่​มี​เข​ียนไว้​แล​้​วว​่า ‘เราได้​ให้​เจ้​าเป็นบิดาของประชาชาติ​มากมาย​’) ต่อพระพักตร์​พระองค์​ที่​ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้​คนที​่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยั​งม​ิ​ได้​เป็นให้เป็นขึ้น ฝ่ายอับราฮั​มน​ั้นเมื่อไม่​มี​หวังซึ่งเป็​นที​่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้​ใจ มี​ความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของประชาชาติ​มากมาย ตามคำที่​ได้​ตรัสไว้​แล​้​วว​่า ‘เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น’ และความเชื่อของท่านมิ​ได้​หย่อนถอยลง ถึงแม้​อายุ​ของท่านได้ประมาณร้อยปี​แล้ว ท่านก็​มิได้​คิดว่าร่างกายของท่านเปรียบเหมือนตายแล้ว และมิ​ได้​คิดว่าครรภ์นางซาราห์​เป็นหมัน ท่านมิ​ได้​หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่​ท่านมีความเชื่​อม​ั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติยศแด่​พระเจ้า ท่านเชื่​อม​ั่​นว​่า พระองค์​ทรงฤทธิ์สามารถกระทำให้สำเร็จได้​ตามที่​พระองค์​ตรั​สส​ัญญาไว้ ด้วยเหตุนี้​เอง พระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมแก่​ท่าน แต่​คำว่า ‘ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่​ท่าน​’ นั้น มิได้​เข​ียนไว้สำหรั​บท​่านแต่​ผู้เดียว แต่​สำหรับพวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อวางใจในพระองค์​ผู้​ทรงให้​พระเยซู​องค์​พระผู้เป็นเจ้าของเราฟื้นขึ้นจากความตาย คือพระองค์​ผู้​ทรงถูกมอบไว้เพราะการละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม

แบ่งปัน
อ่าน โรม 4

โรม 4:1-25 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอะไรเรื่องอับราฮัม บรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต ถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าท่านไม่มีทางอย่างนั้น พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า อับราฮัมเชื่อในพระเจ้าและเพราะความเชื่อนั้นเอง พระเจ้าทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม ฝ่ายคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่มิได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงโปรดให้คนผิดเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้น พระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นคนชอบธรรม โดยมิได้อาศัยการประพฤติ ว่า คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงโปรดยกการอธรรมของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้ว ก็เป็นสุข บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัตพวกเดียวหรือ หรือว่ามีแก่พวกที่มิได้เข้าสุหนัตด้วย เพราะเรากล่าวว่า <<เพราะความเชื่อนั้นเองพระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม>> แต่พระเจ้าทรงถืออย่างไร เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วหรือ หรือเมื่อยังไม่ได้เข้าสุหนัต มิใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตราแห่งความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ ทั้งที่เมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัตและพระเจ้าทรงถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมด้วย และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต ที่มิได้เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลาย ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ ถ้าเขาเหล่านั้นที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเรา ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า <<พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น>> ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน แต่คำว่า <<ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของท่าน>> นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว แต่สำหรับพวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราให้ฟื้นขึ้นจากความตาย คือพระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม

แบ่งปัน
อ่าน โรม 4

โรม 4:1-25 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

แล้วเราจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราในเรื่องนี้? อันที่จริงถ้านับว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ เขาก็มีข้อที่จะอวดได้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลยต่อหน้าพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” เมื่อคนคนหนึ่งทำงาน ค่าจ้างของเขาย่อมไม่ถือว่าเป็นของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่เขาพึงได้รับ ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้าผู้ทรงทำให้คนชั่วเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขาเป็นความชอบธรรม ดาวิดกล่าวเช่นเดียวกันนี้ เมื่อเขาพูดถึงความสุขของผู้ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรมโดยไม่ได้อาศัยการประพฤติว่า “ความสุขมีแก่ ผู้ที่ได้รับการอภัยในการล่วงละเมิดของพวกเขา ผู้ที่บาปทั้งหลายของเขาได้รับการกลบเกลื่อน ความสุขมีแก่ ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ถือโทษบาปของเขาอีก” ความสุขนี้มีแก่ผู้ที่ได้เข้าสุหนัตเท่านั้นหรือ? หรือมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย? เราได้กล่าวแล้วว่าพระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของอับราฮัมเป็นความชอบธรรมของเขา สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อใด? ก่อนหรือหลังจากที่เขาเข้าสุหนัต? ไม่ใช่หลังเข้าสุหนัต แต่เกิดขึ้นก่อนเข้าสุหนัตต่างหาก! และเขาได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมาย ซึ่งเป็นตราแห่งความชอบธรรมที่เขาได้มาโดยความเชื่อขณะที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อแต่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อพระเจ้าจะทรงถือว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ชอบธรรมด้วย และเขายังเป็นบิดาของผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว คนเหล่านี้ไม่เพียงเข้าสุหนัตเท่านั้น แต่ยังดำเนินตามรอยความเชื่อที่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรามีตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าสุหนัต ไม่ใช่โดยบทบัญญัติ แต่โดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของเขาจึงได้รับพระสัญญาให้เป็นทายาทที่จะได้รับโลกนี้เป็นมรดก เพราะถ้าบรรดาผู้ที่ยึดถือบทบัญญัติได้เป็นทายาท ความเชื่อก็ไร้ค่าและพระสัญญาก็เปล่าประโยชน์ เพราะบทบัญญัติย่อมนำพระพิโรธมาถึง และที่ใดไม่มีบทบัญญัติ ที่นั่นก็ไม่มีการล่วงละเมิด เหตุฉะนั้นพระสัญญาจึงมาทางความเชื่อ เพื่อพระสัญญาจะได้เป็นไปโดยพระคุณ และเพื่อพงศ์พันธุ์ทุกคนของอับราฮัมจะได้รับตามพระสัญญาอย่างแน่นอน ไม่เพียงผู้ที่ถือบทบัญญัติเท่านั้น แต่ผู้ที่มีความเชื่อแบบเดียวกับอับราฮัมด้วย เขาเป็นบิดาของพวกเราทั้งหมด ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของหลายชนชาติ” เขาเป็นบิดาของเราในสายพระเนตรพระเจ้าผู้ที่เขาเชื่อ คือพระเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่คนที่ตายแล้วและทรงเรียกสิ่งที่ไม่มีเสมือนว่าสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีความหวังใดๆ อับราฮัมก็ยังเชื่อ เพราะเขามีความหวัง เขาจึงได้เป็นบิดาของหลายชนชาติ เหมือนที่ได้ตรัสกับเขาไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเป็นเช่นนั้นแหละ” ความเชื่อของเขาไม่ได้ถดถอยเลยเมื่อเขาเผชิญกับความจริงที่ว่าร่างกายของเขาเหมือนได้ตายไปแล้ว เพราะเขามีอายุราวร้อยปีแล้ว และความจริงที่ว่าซาราห์ก็ไม่สามารถมีบุตร กระนั้นเขาก็ไม่ได้หวั่นไหวคลางแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่มั่นคงในความเชื่อและถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า เพราะเชื่อมั่นเต็มที่ว่าพระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ นี่คือเหตุผลที่ “พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” คำว่า “ถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” นี้ ไม่ใช่เขียนไว้สำหรับเขาเพียงคนเดียว แต่สำหรับเราทั้งหลายผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย สำหรับเราผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นขึ้นจากตาย พระเยซูทรงถูกมอบไว้ให้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา และทรงคืนพระชนม์เพื่อให้เราเป็นผู้ชอบธรรม

แบ่งปัน
อ่าน โรม 4

โรม 4:1-25 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ถ้า​เช่นนั้น เรา​จะ​ว่า​อย่างไร​ที่​อับราฮัม​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ได้​ประสบ​เรื่อง​นี้​แล้ว ถ้า​อับราฮัม​พ้นผิด​โดย​การ​ปฏิบัติ​ตน ท่าน​ก็​สามารถ​โอ้อวด​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ใน​สายตา​ของ​พระ​เจ้า พระ​คัมภีร์​ระบุ​ไว้​ว่า​อย่างไร “อับราฮัม​เชื่อ​พระ​เจ้า และ​พระ​องค์​จึง​นับ​ว่า​ท่าน​เป็น​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม” เวลา​คน​ปฏิบัติ​งาน ค่าจ้าง​ที่​ได้​รับ ไม่​นับ​ว่า​เป็น​ของ​ขวัญ แต่​เป็น​ค่าแรง อย่างไร​ก็​ตาม ผู้​ที่​ไม่​ได้​อาศัย​การ​ปฏิบัติ​ตน แต่​ได้​วางใจ​พระ​เจ้า​ผู้​โปรด​ให้​คน​ชั่วร้าย​พ้นผิด จึง​นับ​ได้​ว่า​ความ​เชื่อ​ของ​เขา​เป็น​ความ​ชอบธรรม ดาวิด​กล่าวไว้​เช่น​เดียว​กัน​ว่า ผู้​เป็น​สุข​ก็​คือ คน​ที่​พระ​เจ้า​นับว่า​เขา​มี​ความ​ชอบธรรม​โดย​ไม่​ได้​อาศัย​การ​ปฏิบัติ​ตน “คน​ทั้ง​หลาย​ที่​พระ​เจ้า​ได้​ยกโทษ​ให้​เนื่อง​จาก​การ​ล่วง​ละเมิด และ​ได้​รับ​การ​ลบล้าง​บาป​แล้ว ก็​เป็น​สุข คน​ที่​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​ไม่​มี​วัน​ถือ​โทษ ก็​เป็น​สุข” ความ​สุข​นี้​สำหรับ​คน​ที่​เข้า​สุหนัต​เท่า​นั้น หรือ​สำหรับ​คน​ที่​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต​ด้วย เรา​กล่าว​กัน​ว่า “พระ​เจ้า​นับ​ว่า​อับราฮัม​เป็น​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม เพราะ​ท่าน​มี​ความ​เชื่อ” แล้ว​อับราฮัม​ได้​รับ​ความ​ชอบธรรม​นั้น​อย่างไร ขณะ​ที่​ท่าน​เข้า​สุหนัต​แล้ว หรือ​ก่อน​หน้า​นั้น เป็น​เวลา​ก่อน​ที่​ท่าน​เข้า​สุหนัต ไม่​ใช่​หลัง​จาก​เข้า​สุหนัต และ​อับราฮัม​ได้​รับ​เครื่อง​หมาย​ของ​การ​เข้า​สุหนัต เป็น​ตรา​ประทับ​แห่ง​ความ​ชอบธรรม​ที่​ท่าน​ได้​รับ โดย​การ​มี​ความ​เชื่อ​ขณะ​ที่​ท่าน​ยัง​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต ดังนั้น​ท่าน​เป็น​บิดา​ของ​คน​ทั้ง​ปวง​ที่​เชื่อ แม้​จะ​ไม่​ได้​เข้า​สุหนัต​ก็​ตาม เพื่อ​พระ​เจ้า​จะ​ได้​นับ​ว่า พวก​เขา​เป็น​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม และ​ท่าน​ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​บิดา​ของ​พวก​ที่​เข้า​สุหนัต​แล้ว คือ​พวก​ที่​ไม่​เพียงแต่​เข้า​สุหนัต​เท่า​นั้น แต่​เป็น​บรรดา​ผู้​ที่​เดิน​ตาม​รอยเท้า​แห่ง​ความ​เชื่อ​ที่​อับราฮัม​บิดา​ของ​เรา​มี​อยู่ ก่อน​ที่​ท่าน​จะ​เข้า​สุหนัต​ด้วย อับราฮัม​และ​บรรดา​ผู้​สืบ​เชื้อสาย​ของ​ท่าน ได้​รับ​พระ​สัญญา​ว่า​จะ​ได้​ทั้ง​โลก​เป็น​มรดก ก็​เพราะ​มี​ความ​ชอบธรรม​อัน​เนื่อง​มา​จาก​ความ​เชื่อ ไม่​ใช่​มา​จาก​กฎ​บัญญัติ ถ้า​หากว่า​บรรดา​ผู้​ที่​ดำรง​ชีวิต​ด้วย​กฎ​บัญญัติ​เป็น​ผู้​รับ​มรดก​แล้ว ความ​เชื่อ​ก็​ไม่​มี​ความหมาย และ​พระ​สัญญา​ก็​ไม่​มี​ค่า​เลย ด้วย​ว่า​กฎ​บัญญัติ​นำ​การ​ลง​โทษ และ​ที่​ใด​ไม่​มี​กฎ ที่​นั่น​ก็​ไม่​มี​การ​ละเมิด​กฎ ฉะนั้น พระ​สัญญา​ได้​มา​โดย​ความ​เชื่อ​เพื่อ​จะ​ได้​เป็น​ตาม​พระ​คุณ เพื่อ​พระ​สัญญา​จะ​ได้​เป็น​ของ​ผู้​สืบ​เชื้อสาย​ทุก​คน​อย่าง​แน่นอน ไม่​เป็น​แต่​เฉพาะ​บรรดา​ผู้​ที่​ปฏิบัติ​ตาม​กฎ​บัญญัติ​เท่า​นั้น แต่​เป็น​ของ​บรรดา​ผู้​ที่​ทำ​ตาม​ความ​เชื่อ​ของ​อับราฮัม​ผู้​เป็น​บิดา​ของ​เรา​ทุก​คน​ด้วย ตาม​ที่​มี​บันทึก​ไว้​ว่า “เรา​ได้​ให้​เจ้า​เป็น​บิดา​ของ​ประชา​ชาติ​มาก​หลาย” อับราฮัม​เป็น​บิดา​ของ​เรา​ใน​สายตา​ของ​พระ​เจ้า​ที่​อับราฮัม​เอง​เชื่อ พระ​องค์​ผู้​เป็น​พระ​เจ้า​ผู้​ให้​คน​ตาย​มี​ชีวิต และ​ให้​สิ่ง​ที่​ยัง​ไม่​มี​ตัวตน​ปรากฏ​ขึ้น​มา​ได้ ถึง​แม้​ว่า​จะ​ไม่​มี​ความ​หวัง​หลงเหลือ​อยู่ แต่​อับราฮัม​ยัง​เชื่อ​และ​ยัง​มี​ความ​หวัง จึง​ได้​เป็น​บิดา​ของ​ประชา​ชาติ​มาก​หลาย ตาม​ที่​พระ​เจ้า​กล่าว​แก่​ท่าน​ไว้​ว่า “ผู้​สืบ​เชื้อสาย​ของ​เจ้า​จะ​มากมาย​เช่นนั้น” ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน​ไม่​ได้​ลด​น้อย​ลง​เลย ท่าน​คิดถึง​ความ​จริง​ที่​ว่า ร่างกาย​ของ​ท่าน​เป็น​เหมือน​ของ​คน​ตาย​แล้ว เพราะ​ท่าน​อายุ​ประมาณ 100 ปี และ​ครรภ์​ของ​ซาราห์​ก็​เป็น​หมัน​ด้วย แต่​ท่าน​ก็​ยัง​ไม่​ลังเล​หรือ​ขาด​ความ​เชื่อ​ใน​พระ​สัญญา​ของ​พระ​เจ้า และ​มี​ความ​เชื่อ​มั่นคง​ยิ่งขึ้น และ​ได้​สรรเสริญ​พระ​เจ้า ท่าน​เชื่อ​อย่าง​แน่นอน​ว่า​พระ​เจ้า​มี​อานุภาพ​กระทำ​สิ่ง​ที่​พระ​องค์​ได้​สัญญา​ไว้ ด้วย​เหตุ​นี้​เอง “พระ​เจ้า​นับ​ว่า​ท่าน​เป็น​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม” คำกล่าว​ที่​ว่า “พระ​เจ้า​นับ​ท่าน​ไว้​แล้ว” นั้น ไม่​ได้​มี​บันทึก​ไว้​สำหรับ​ท่าน​ผู้​เดียว แต่​สำหรับ​พวก​เรา​ด้วย คือ​พระ​เจ้า​จะ​นับ​ว่า​เรา​มี​ความ​ชอบธรรม สำหรับ​พวก​เรา​ที่​เชื่อ​พระ​องค์ ผู้​ให้​พระ​เยซู องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​ฟื้น​คืน​ชีวิต​จาก​ความ​ตาย พระ​องค์​ถูก​ส่ง​ไป​สู่​ความ​ตาย​เพราะ​การ​ล่วงละเมิด​ของ​เรา และ​ได้​ฟื้น​คืน​ชีวิต​เพื่อ​เรา​จะ​ได้​พ้นผิด

แบ่งปัน
อ่าน โรม 4