1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53

1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​จึง​เรียก​เจ้าหน้าที่​ของ​เขา​มา​คนหนึ่ง​และ​พูด​ว่า “เร็วเข้า ไป​พา​มีคายาห์​ลูกชาย​ของ​อิมลาห์​มา​ที่นี่” กษัตริย์​อาหับ​แห่ง​อิสราเอล​และ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​แห่ง​ยูดาห์ แต่งตัว​ด้วย​ชุด​กษัตริย์​เต็มยศ กำลัง​นั่ง​อยู่​บน​บัลลังก์​ของ​พวก​เขา​ที่​ลานนวดข้าว ตรง​ทางเข้า​ประตู​เมือง​สะมาเรีย พร้อมกับ​พวก​ผู้พูดแทน​พระเจ้า​ทุกคน​ที่​อยู่​ต่อหน้า​พวกเขา ที่​กำลัง​อ้าง​ว่า​พูดแทน​พระเจ้า​อยู่ ขณะนั้น ผู้พูดแทน​พระเจ้า​คนหนึ่ง ชื่อ​เศเดคียาห์​ลูกชาย​เคนาอะนาห์​ได้​เอา​เหล็ก​ทำ​เป็น​เขา​สัตว์ เขา​ประกาศ​ว่า “นี่คือ​สิ่ง​ที่​พระยาห์เวห์​พูด ‘พวกเจ้า​จะ​ใช้​เขา​สัตว์​เหล็กนี้​แทง​พวก​อารัม จน​กว่า​พวกนั้น​จะ​ถูก​ทำลาย​จน​หมด’” ผู้พูดแทน​พระเจ้า​ทั้งหมด​ต่างก็​ทำนาย​ใน​สิ่ง​เดียวกัน พวก​เขา​พูด​ว่า “ขึ้น​ไป​ที่​ราโมท-กิเลอาด​และ​ได้รับ​ชัยชนะเถิด เพราะ​พระยาห์เวห์​จะ​ให้​มัน​ตก​อยู่​ใน​กำมือ​ของ​กษัตริย์” คน​ส่งข่าว​ที่​ส่ง​ไป​เรียก​ตัว​มีคายาห์​พูด​กับ​เขา​ว่า “ดูสิ ผู้พูดแทน​พระเจ้า​คน​อื่นๆ​กำลัง​ทำนาย​ความ​สำเร็จ​ของ​กษัตริย์​อยู่ ขอ​ให้​คำพูด​ของ​ท่าน​เหมือน​กับ​คำพูด​ของ​พวก​เขา​และ​พูด​แต่​สิ่ง​ดีๆ​ด้วย​เถิด” แต่​มีคายาห์​ตอบ​ไป​ว่า “พระยาห์เวห์​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ขนาด​ไหน ก็​ให้​แน่ใจ​ขนาดนั้น​เลย​ว่า เรา​จะ​พูด​แต่​สิ่ง​ที่​พระยาห์เวห์​บอก​เรา​เท่านั้น” เมื่อ​มีคายาห์​มา​ถึง กษัตริย์​ถาม​เขา​ว่า “มีคายาห์ พวกเรา​ควร​จะ​ขึ้นไป​รบ​กับ​ชาวอารัม​ที่​ราโมท-กิเลอาด​หรือเปล่า” เขา​ตอบ​ว่า “ไป​รบ​เถิด แล้ว​จะ​ได้รับ​ชัยชนะ​กลับ​มา เพราะ​พระยาห์เวห์​จะ​ให้​มัน​ตก​อยู่​ใน​กำมือ​ของ​กษัตริย์” กษัตริย์​พูด​กับ​เขา​ว่า “เรา​ให้​เจ้า​สาบาน​ไม่​รู้​กี่​ครั้งแล้ว ว่า​ให้​เจ้า​พูด​แต่​ความจริง​กับ​เรา ใน​นาม​ของ​พระยาห์เวห์” มีคายาห์​จึง​ตอบ​ว่า “เรา​เห็น​อิสราเอล​ทั้งหมด​กระจัด​กระจาย​อยู่​ตาม​เนินเขา​เหมือน​กับ​แกะ​ที่​ไม่​มี​คนเลี้ยง และ​พระยาห์เวห์​พูด​ว่า ‘ประชาชน​เหล่านี้​ไม่​มี​ผู้นำ​แล้ว ปล่อย​ให้​พวกเขา​กลับ​ไป​บ้าน​อย่าง​สันติเถิด’” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​บอก​กับ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ว่า “เห็นไหม เรา​บอก​ท่าน​แล้ว ว่า​เขา​ไม่​เคย​ทำนาย​สิ่งดีๆ​เกี่ยวกับ​เราเลย มี​แต่​คำ​ทำนาย​ที่​ร้ายๆ​เสมอ” มีคายาห์​พูด​ต่อ​ไป​ว่า “ฟัง​คำ​ของ​พระยาห์เวห์​ให้​ดี ข้าพเจ้า​เห็น​พระยาห์เวห์​นั่ง​อยู่​บน​บัลลังก์​พร้อม​กับ​กองทัพ​สวรรค์​ทั้งหมด​ที่​ยืน​อยู่​รอบๆ​พระองค์​ทั้ง​ด้านขวา​และ​ด้านซ้าย​ของ​พระองค์ และ​พระยาห์เวห์​พูด​ว่า ‘ใคร​จะ​ล่อลวง​อาหับ​ให้​ไป​โจม​ตี​ชาว​อารัม​ที่​ราโมท-กิเลอาด​และ​ไป​ตาย​ที่นั่น​ได้​บ้าง’ ทูตสวรรค์​องค์​หนึ่ง​แนะนำ​อย่างหนึ่ง และ​อีก​องค์​หนึ่ง​ก็​แนะนำ​อีก​อย่างหนึ่ง ใน​ที่สุด​วิญญาณ​องค์​หนึ่ง​ก็​ก้าว​ออก​มา​ยืน​อยู่​ต่อหน้า​พระยาห์เวห์ และ​พูด​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​ล่อลวง​เขาเอง’ พระยาห์เวห์​ถาม​เขา​ว่า ‘ด้วย​วิธี​ไหน​หรือ’ เขา​ตอบ​ว่า ‘เรา​จะ​ออก​ไป​และ​ไป​เป็น​วิญญาณ​ที่​หลอกลวง​อยู่​ที่​ปาก​ของ​พวกผู้พูดแทน​พระเจ้า​ทั้งหมด​ของ​เขา’ พระยาห์เวห์​ตอบ​ว่า ‘เจ้า​จะ​ล่อลวง​เขา​ได้​สำเร็จ​แน่ ไป​ลงมือเถิด’ ดังนั้น ใน​ตอนนี้​พระยาห์เวห์​ได้​มา​วาง​วิญญาณ​ที่​หลอกลวง​อยู่​ที่​ปาก​ของ​ผู้พูดแทน​พระเจ้า​ทั้งหมด​นี้แล้ว พระยาห์เวห์​ได้​สั่ง​ให้​เรื่อง​ร้ายๆ​เกิดขึ้น​กับ​ท่านแล้ว” แล้ว​เศเดคียาห์​ผู้พูดแทนพระเจ้า ลูกชาย​ของ​เคนาอะนาห์ เข้ามา​ตบหน้า​มีคายาห์ เขา​ถาม​ว่า “จะ​เป็น​ไป​ได้​ยังไง ที่​พระวิญญาณ​ที่​มา​จาก​พระยาห์เวห์​จะ​จาก​ข้า​ไป เพื่อ​ไป​พูด​ผ่านแก” มีคายาห์​ตอบ​ว่า “ท่าน​จะ​รู้เอง​ใน​วัน​ที่​ท่าน​ไป​หลบ​ซ่อนตัว​อยู่​ใน​ห้อง​ด้าน​ในสุด” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​ได้​สั่ง​ไป​ว่า “จับ​ตัว​มีคายาห์​ส่ง​กลับ​ไป​ให้​กับ​อาโมน​เจ้าเมือง​และ​โยอาช​ลูกชาย​ของเรา และ​บอก​กับ​พวกเขา​ว่า ‘กษัตริย์​สั่ง​ว่า ให้​เอา​ตัว​เจ้า​หมอนี่​ไป​ขังไว้​ใน​คุก​และ​อย่า​ให้​อะไร​กับ​มัน นอกจาก​ขนมปัง​และ​น้ำ จน​กว่า​เรา​จะ​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย’” มีคายาห์​ประกาศ​ไป​ว่า “ประชาชน​ทั้งหลาย ฟัง​ให้ดี ถ้า​อาหับ​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย ก็​แสดง​ว่า​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​พูด​ผ่านเรา” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​และ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ของ​ยูดาห์​จึง​ยก​ขึ้น​ไป​สู้รบ​กับ​ชาว​อารัม​ที่​เมือง​ราโมท-กิเลอาด กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​พูด​กับ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​จะ​ปลอมตัว​เข้า​ไป​รบ แต่​ท่าน​สวม​เสื้อ​กษัตริย์​ของ​ท่าน” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​จึง​ปลอมตัว​เป็น​ทหาร​ธรรมดา​และ​เข้า​ไป​สู้รบ ใน​ขณะนั้น​กษัตริย์​ของ​ชาว​อารัม​สั่ง​พวก​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​รถรบ​ทั้ง​สามสิบสอง​คัน​ของเขา​ว่า “อย่า​ไล่​ตาม​ใครไป ไม่​ว่า​จะ​เล็ก​หรือ​ใหญ่ ยกเว้น​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​เท่านั้น” เมื่อ​พวก​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​รถรบ​เห็น​เยโฮชาฟัท พวก​เขา​พูด​ว่า “เขา​ต้อง​เป็น​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​แน่ๆ” พวก​เขา​จึง​ได้​หัน​ไป​สู้​กับ​เยโฮชาฟัท แต่​เมื่อ​เยโอชาฟัท​ร้อง​ออก​มา พวก​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​รถรบ​จึง​รู้​ว่า​เขา​ไม่ใช่​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล จึง​หยุด​ไล่ตาม​เขา​ไป แต่​มี​คน​หนึ่ง​โก่ง​คัน​ธนู​ของ​เขา​ยิง​ออก​ไป​แบบ​สุ่มๆ ลูกธนู​ไป​ถูก​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​เข้า​ตรง​ช่อง​ว่าง​ของ​เสื้อ​เกราะ กษัตริย์​บอก​กับ​คน​ขับ​รถรบ​ของ​เขา​ว่า “กลับ​รถ​ไป​และ​พา​เรา​ออก​จาก​สนาม​รบ เรา​ได้รับ​บาดเจ็บ” การ​ต่อสู้นั้น​ดุเดือด​และ​กิน​เวลา​ยาวนาน กษัตริย์​ยืน​พิง​อยู่​ใน​รถรบ​และ​เผชิญหน้า​กับ​ชาว​อารัม เลือด​ของ​เขา​ไหล​จาก​บาดแผล​ลง​ที่​พื้น​รถรบ และ​ใน​ตอน​เย็น​วันนั้นเอง​เขา​ก็ตาย เมื่อ​อาทิตย์​กำลัง​จะ​ตก​ดิน ก็​มี​เสียง​ร้อง​ไป​ทั่ว​กองทัพ​ว่า “ให้​ทุก​คน​กลับ​เข้า​เมือง​ของ​ตัวเอง ทุกคน​กลับ​สู่​แผ่นดิน​ของ​ตัวเอง​ให้​หมด” กษัตริย์​อาหับ​จึง​ตายไป​และ​ถูก​นำ​ศพ​มา​ที่​เมือง​สะมาเรีย และ​พวก​เขา​ก็​ฝังศพ​เขา​ไว้​ที่​นั่น พวกเขา​ล้าง​รถรบ​ใน​สระ​น้ำ​ใน​เมือง​สะมาเรีย (เป็น​ที่​ที่​พวก​โสเภณี​ใช้​อาบน้ำ​กัน) และ​ก็​มี​หมา​หลาย​ตัว​มา​เลีย​เลือด​ของ​เขา​ซึ่ง​เป็น​ไป​ตาม​คำพูด​ของ​พระยาห์เวห์​ที่​เคย​ประกาศไว้ ส่วน​เหตุการณ์​อื่นๆ​ใน​สมัย​ของ​กษัตริย์​อาหับ รวมทั้ง​สิ่ง​ต่างๆ​ที่​เขา​ได้ทำไป วัง​ที่​เขา​ได้​สร้าง​และ​ฝัง​งา​ช้างไว้ และ​เมือง​ต่างๆ​ที่​เขา​สร้างขึ้น​เป็น​ป้อม ได้​จดบันทึก​ไว้​แล้ว​ใน​หนังสือ​ประวัติ​ของ​บรรดา​กษัตริย์​แห่งอิสราเอล กษัตริย์​อาหับ​ตาย​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​เขา และ​อาหัสยาห์​ลูกชาย​ของ​เขา​ก็​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์​สืบต่อ​จากเขา เยโฮชาฟัท​ลูกชาย​ของ​อาสา​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์​ของ​ยูดาห์ ตรง​กับ​ปี​ที่สี่​ที่​กษัตริย์​อาหับ​ปกครอง​อิสราเอล เยโฮชาฟัท​มี​อายุ​สามสิบห้า​ปี​เมื่อ​เขา​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์ และ​เขา​ครอง​บัลลังก์​อยู่​เหนือ​เยรูซาเล็ม​เป็น​เวลา​ยี่สิบห้า​ปี แม่​ของ​เขา​มี​ชื่อ​ว่า​อาซูบาห์​เป็น​ลูกสาว​ของ​ชิลหิ เขา​เดิน​ตาม​รอย​ของ​อาสา​พ่อ​ของ​เขา และ​ไม่​ได้​หัน​ไป​จาก​ทางนั้น​เลย เขา​ทำ​ใน​สิ่ง​ที่​ถูกต้อง​ใน​สายตา​ของ​พระยาห์เวห์ แต่​พวก​สถานที่​นมัสการ​ต่างๆ​ก็​ไม่​ได้​ถูก​รื้อทิ้ง และ​ประชาชน​ก็​ยัง​คง​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา และ​เผา​เครื่อง​หอม อยู่​ที่นั่น กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ทำ​สัญญา​ไมตรี​กับ​กษัตริย์​ของ​อิสราเอลด้วย ส่วน​เหตุการณ์​อื่นๆ​ใน​สมัย​ของ​เยโฮชาฟัท รวมถึง​อำนาจ​ของ​เขา และ​ความ​กล้าหาญ​ใน​การ​สู้รบ​ของ​เขา ได้​จดบันทึก​ไว้​แล้ว​ใน​หนังสือ​ประวัติ​ของ​บรรดา​กษัตริย์​แห่งยูดาห์ เขา​กำจัด​พวก​ผู้ชาย​ขายตัว​ที่​อยู่​ตาม​ศาลเจ้า พวก​ที่​ยัง​หลงเหลือ​อยู่​จาก​สมัย​ของ​อาสา​พ่อ​ของเขา ให้​หมด​ไป​จาก​แผ่นดิน ใน​สมัยนั้น​เอโดม​ไม่​มี​กษัตริย์​ปกครอง มี​แต่​ผู้ว่า​ราชการ​ที่​กษัตริย์​ยูดาห์​เลือก​มา​ให้​ปกครอง​เท่านั้น ใน​เวลานั้น​เยโฮชาฟัท​สร้าง​เรือ​กำปั่น​สินค้า​ขึ้น เพื่อ​ไป​ขน​ทองคำ​มา​จาก​เมือง​โอฟีร์ แต่​พวก​มัน​ก็​ไป​ไม่​ถึง​เพราะ​ไป​แตก​ที่​เมือง​เอซีโอน-เกเบอร์​เสียก่อน แล้ว​กษัตริย์​อาหัสยาห์​ลูกชาย​ของ​กษัตริย์​อาหับ​ได้​เสนอ​ความ​ช่วยเหลือ​กับ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ว่า “ให้​คน​ของ​เรา​แล่น​เรือ​ไป​กับ​คน​ของ​ท่านสิ” แต่​เยโฮชาฟัท​ปฏิเสธ เยโฮชาฟัท​ล่วงลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​เขา​และ​ถูก​ฝัง​อยู่​กับ​พวก​เขา​ใน​เมือง​ของ​ดาวิด ที่​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​เขา และ​เยโฮรัม​ลูกชาย​ของ​เขา​ก็​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์​สืบต่อ​จากเขา อาหัสยาห์​ลูกชาย​ของ​อาหับ​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ใน​เมือง​สะมาเรีย ตรง​กับ​ปี​ที่​สิบเจ็ด​ของ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​แห่ง​ยูดาห์ และ​อาหัสยาห์​ปกครอง​อยู่​เหนือ​อิสราเอล​เป็น​เวลา​สองปี เขา​ทำ​ความชั่ว​ใน​สายตา​ของ​พระยาห์เวห์ เพราะ​เขา​เดินตาม​รอย​พ่อ​แม่​ของ​เขา​และ​ตาม​รอย​ของ​เยโรโบอัม​ลูกชาย​ของ​เนบัท ผู้​เป็น​ต้นเหตุ​ทำ​ให้​อิสราเอล​พลอย​หลง​ไป​ทำบาป อาหัสยาห์​ไป​รับใช้​และ​กราบไหว้​บูชา​พระ​บาอัล เป็น​การ​ยั่ว​ให้​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอลโกรธ เหมือน​กับ​ที่​พ่อ​ของ​เขา​เคย​ทำมา

1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่ง และตรัสสั่งว่า “จงรีบไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มา” พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ณ ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนพวกเขาย่อยยับ’ ” และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า “ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” และผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล” แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น” และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือพวกเราควรล้มเลิก?” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไป และมีชัยชนะ พระยาห์เวห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า “เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์” และท่านก็ทูลว่า “ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้พวกเขาต่างกลับไปยังบ้านของตนโดยสวัสดิภาพเถิด’ ” พระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะไม่พยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายเท่านั้น?” และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้น ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระบาทได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบริวารทั้งหมดแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ทั้งทางข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์ และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ใครจะชักนำอาหับให้ขึ้นไป และล้มลงที่ราโมทกิเลอาด?’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น แล้วมีวิญญาณหนึ่งออกมายืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะชักนำเขา’ และพระยาห์เวห์ตรัสกับมันว่า ‘จะทำอย่างไร?’ และมันทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ และพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าไปชักนำเขาได้ และเจ้าจะทำสำเร็จ จงไปทำตามนั้นเถิด’ ฉะนั้น ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดนี้ของฝ่าพระบาท พระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท” แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร?” และมีคายาห์ตอบว่า “นี่แน่ะ เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์แล้วส่งเขากลับไปให้อาโมนผู้ว่าราชการเมืองและโยอาชพระราชโอรส และบอกว่า ‘พระราชาตรัสดังนี้ว่า “เอาคนนี้ไปจำคุกไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะมาโดยสวัสดิภาพ” ’ ” และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพได้จริงๆ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท” และท่านกล่าวว่า “ประชาชนทั้งสิ้นเอ๋ย จงฟังเถิด” พระราชาแห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน” และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์เข้าทำศึก พระราชาแห่งซีเรียทรงบัญชาบรรดาแม่ทัพรถรบของพระองค์ทั้ง 32 คนว่า “อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล” เมื่อบรรดาแม่ทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า “เป็นพระราชาอิสราเอลแน่แล้ว” พวกเขาจึงหันไปสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น เมื่อบรรดาแม่ทัพรถรบเห็นว่าไม่ใช่พระราชาอิสราเอล ก็หันรถกลับ ไม่ไล่ตามพระองค์ แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงสุ่มไปถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า ระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า “หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว” วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็พยุงพระราชาขึ้นในรถรบ ให้หันพระพักตร์ไปทางพวกซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และพระโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองทั่วท้องรถรบ ประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตก มีเสียงร้องทั่วกองทัพว่า “ให้ทุกคนกลับไปเมืองของตัว และภูมิลำเนาของตัว” เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็นำมายังกรุงสะมาเรีย และเขาฝังพระราชาในกรุงสะมาเรีย เขาล้างรถรบที่สระน้ำแห่งสะมาเรีย ที่ที่พวกหญิงโสเภณีลงอาบน้ำและแล้วพวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้ ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาหับ และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และพระราชวังงาช้างซึ่งทรงสร้างไว้ ตลอดจนเมืองทั้งหมดที่ทรงสร้าง ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสยาห์พระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน เยโฮชาฟัทพระราชโอรสของอาสาทรงครองยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุ 35 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 25 ปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า อาซูบาห์ บุตรหญิงของชิลหิ พระองค์ทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของอาสาพระราชบิดาของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันเหจากทางนั้น ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ปูชนียสถานสูงต่างๆ นั้นยังไม่ได้รื้อลง ประชาชนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมอยู่บนปูชนียสถานสูงต่างๆ นั้น เยโฮชาฟัททรงทำไมตรีกับพระราชาแห่งอิสราเอลด้วย ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮชาฟัท และพระราชอำนาจที่ทรงสำแดง และสงครามที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? ส่วนเทวทาสที่เหลืออยู่คือ ผู้ที่ยังเหลือในสมัยของอาสาพระราชบิดานั้น พระองค์ก็ทรงกำจัดเสียจากแผ่นดิน ไม่มีพระราชาในเอโดม แต่มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินปกครองแทน เยโฮชาฟัททรงต่อเรือทารชิชหลายลำ เพื่อไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่ไปไม่ถึง เพราะเรือแตกเสียที่เอซิโอนเกเบอร์ แล้วอาหัสยาห์พระราชโอรสของอาหับตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้ข้าราชการของข้าพเจ้านั่งเรือไปกับข้าราชการของท่าน” แต่เยโฮชาฟัทไม่ทรงยินยอม เยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมพระราชโอรสก็ขึ้นครองราชย์แทน อาหัสยาห์พระราชโอรสของอาหับทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ และทรงครองอิสราเอล 2 ปี พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินในทางของพระราชบิดาของพระองค์ และในทางของพระมารดาของพระองค์ และในทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย พระองค์ทรงปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น และทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงพระพิโรธ โดยทำตามทุกอย่างที่พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำแล้วนั้น

1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

แล​้วกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาตรั​สส​ั่งว่า “ไปพามีคายาห์​บุ​ตรอิมลาห์มาเร็วๆ” ฝ่ายกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษั​ตริ​ย์​แห่​งยูดาห์ต่างประทับบนพระที่​นั่ง ทรงฉลองพระองค์ ณ ช่องว่างตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้​พยากรณ์​ทั้งปวงก็​พยากรณ์​ถวายอยู่ และเศเดคียาห์​บุ​ตรชายเคนาอะนาห์จึงเอาเหล็กทำเป็นเขาและพูดว่า “พระเยโฮวาห์ตรั​สด​ังนี้​ว่า ด้วยสิ่งเหล่านี้​เจ้​าจะผลักคนซีเรียไปจนเจ้าผลาญเขาทั้งหลายเสียสิ้น” และบรรดาผู้​พยากรณ์​ก็​พยากรณ์​อย่างนั้นทูลว่า “ขอเสด็จขึ้นไปราโมทกิเลอาดเถิด และมี​ชัยชนะ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของกษั​ตริ​ย์” และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์​ได้​บอกท่านว่า “​ดู​เถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้​พยากรณ์​ก็​พู​ดสิ่งที่​ดี​แก่​กษัตริย์​เป็นปากเดียวกัน ขอให้​ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่​สิ​่งที่​ดี​” แต่​มี​คายาห์ตอบว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์​อยู่​แน่​ฉันใด พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะต้องพู​ดอย​่างนั้น” และเมื่อท่านมาเฝ้ากษั​ตริ​ย์ กษัตริย์​ตรัสถามท่านว่า “​มี​คายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และท่านทูลตอบพระองค์​ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมี​ชัยชนะ พระเยโฮวาห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษั​ตริ​ย์” แต่​กษัตริย์​ตรัสกั​บท​่านว่า “เราได้​ให้​เจ้​าปฏิญาณกี่ครั้งแล้​วว​่า เจ้​าจะพู​ดก​ับเราแต่ความจริงในพระนามของพระเยโฮวาห์” และท่านก็ทูลว่า “ข้าพระองค์​ได้​เห​็นคนอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขาอย่างแกะที่​ไม่มี​ผู้​เลี้ยง และพระเยโฮวาห์ตรั​สว​่า ‘คนเหล่านี้​ไม่มี​นาย ให้​เขาต่างกลับยังเรือนของตนโดยสันติภาพเถิด’” กษัตริย์​แห่​งอ​ิสราเอลจึงทูลเยโฮชาฟั​ทว่า “ข้าพเจ้ามิ​ได้​บอกท่านแล้วหรือว่า เขาจะไม่​พยากรณ์​สิ​่​งด​ี​เก​ี่ยวกับข้าพเจ้าเลย แต่​สิ​่งร้ายต่างหาก” และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์​ได้​เห​็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย และพระเยโฮวาห์ตรั​สว​่า ‘​ผู้​ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับเพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทู​ลอย​่างนี้ บ้างก็ทู​ลอย​่างนั้น แล​้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้า เฝ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง’ และพระเยโฮวาห์ตรัสกับเขาว่า ‘จะทำอย่างไร’ และเขาทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็​นว​ิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้​พยากรณ์​ของเขาทุกคน’ และพระองค์ตรั​สว​่า ‘​เจ้​าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้​สำเร็จ จงไปทำเถิด’ เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดู​เถิด พระเยโฮวาห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้​พยากรณ์​นี้​ทั้งสิ้นของพระองค์ พระเยโฮวาห์ทรงตรัสเป็นความร้ายเกี่ยวกับพระองค์” แล​้วเศเดคียาห์​บุ​ตรชายเคนาอะนาห์​ได้​เข​้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์​พูดว่า “พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ไปจากข้า พู​ดก​ับเจ้าได้​อย่างไร​” และมีคายาห์ตอบว่า “​ดู​เถิด เจ้​าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า” และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลตรั​สว​่า “จงจับมีคายาห์พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมืองและแก่โยอาชราชโอรสกษั​ตริ​ย์ และว่า ‘​กษัตริย์​ตรั​สด​ังนี้​ว่า “เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้​อาหารแห่งความทุกข์กั​บน​้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติ​ภาพ​”’” และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาโดยสันติ​ภาพ พระเยโฮวาห์​ก็​มิได้​ตรัสโดยข้าพระองค์” และท่านกล่าวว่า “​โอ บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด” กษัตริย์​แห่​งอ​ิสราเอลกับเยโฮชาฟัทกษั​ตริ​ย์​แห่​งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟั​ทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่​ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน” และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์​เข​้าทำสงคราม ฝ่ายกษั​ตริ​ย์ประเทศซีเรียทรงบัญชาแม่ทัพรถรบทั้งสามสิบสองคนว่า “อย่ารบกับทหารน้อยหรือใหญ่ แต่​มุ​่งเฉพาะกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอล” และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็​ว่า “เป็นกษั​ตริ​ย์อิสราเอลแน่​แล้ว​” เขาจึงหันเข้าไปสู้รบกับพระองค์และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็​นว​่าไม่​ใช่​กษัตริย์​แห่​งอ​ิสราเอล ก็​หันกลับจากไล่ตามพระองค์ แต่​มี​ชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงเดาไป ถู​กกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลเข้าระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์​จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า “หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว” วันนั้นการรบก็​ดุ​เดือดขึ้น เขาก็​หน​ุนกษั​ตริ​ย์​ไว้​ในราชรถให้หันพระพักตร์​เข้าสู่​ชนซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์​ก็​สิ้นพระชนม์ และโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองท้องรถรบ ประมาณดวงอาทิตย์ตกก็​มี​เสียงร้องทั่วกองทัพว่า “​ทุ​กคนจงกลับไปเมืองของตัว และทุกคนจงกลับไปภู​มิ​ลำเนาของตัว” ครั้นกษั​ตริ​ย์​สิ้นพระชนม์​แล​้วเขาก็นำมายังกรุงสะมาเรีย และฝังพระศพกษั​ตริ​ย์​ไว้​ในสะมาเรีย เขาล้างรถรบที่สระแห่งสะมาเรีย และสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ เขาได้ล้างเกราะของพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์​ได้​ตรัส ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาหับ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และพระราชวังงาช้างซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ และหัวเมืองทั้งปวงที่​พระองค์​ทรงสร้าง มิได้​บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งกษั​ตริ​ย์ประเทศอิสราเอลหรือ อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสยาห์ราชโอรสของพระองค์​ก็​ขึ้นครองแทน เยโฮชาฟัทราชโอรสของอาสาเริ่มขึ้นครองเหนือยูดาห์ในปี​ที่สี่​แห่​งรัชกาลอาหับกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอล เยโฮชาฟั​ทม​ีพระชนมายุสามสิบห้าพรรษาเมื่อทรงเริ่มขึ้นครอง และพระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มยี่​สิ​บห้าปี พระชนนีของพระองค์​มี​พระนามว่า อาซูบาห์ธิดาของชิลหิ พระองค์​ทรงดำเนินตามมรรคาของอาสาราชบิดาทุกประการ มิได้​หันเหออกไปจากทางนั้น ทรงกระทำสิ่งที่​ถู​กต้องในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์ แต่​ปู​ชน​ียสถานสูงนั้นยั​งม​ิ​ได้​ถู​กร​ื้อลง ประชาชนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมในปู​ชน​ียสถานสูงนั้น เยโฮชาฟัททรงกระทำไมตรีกับกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลด้วย ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮชาฟัท และยุทธพลังที่​พระองค์​ทรงสำแดง และสงครามที่​พระองค์​ทรงกระทำ มิได้​บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งกษั​ตริ​ย์ประเทศยูดาห์​หรือ และพวกกะเทยที่ยังเหลืออยู่คือผู้​ที่​ยังเหลือในสมัยของอาสาราชบิ​ดาน​ั้น พระองค์​ก็​ทรงกำจัดเสียจากแผ่นดิน ไม่มี​กษัตริย์​ในประเทศเอโดม แต่​มี​ผู้​ว่าราชการเป็นกษั​ตริ​ย์ เยโฮชาฟัททรงต่อกำปั่นทารชิช เพื่อจะไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่​กำปั่นนั้นไปไม่ถึงเพราะไปแตกเสียที่​เอซี​โอนเกเบอร์ แล​้วอาหัสยาห์ราชโอรสของอาหับตรัสกับเยโฮชาฟั​ทว่า “​ขอให้​ข้าราชการของข้าพเจ้าไปในเรือกำปั่​นก​ับข้าราชการของท่าน” แต่​เยโฮชาฟัทไม่พอพระทัย และเยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษที่ในนครดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์ อาหัสยาห์ราชโอรสของอาหับทรงเริ่มครองเหนื​ออ​ิสราเอลในสะมาเรียในปี​ที่​สิ​บเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทกษั​ตริ​ย์​แห่​งยูดาห์ และพระองค์ทรงครอบครองเหนื​ออ​ิสราเอลสองปี พระองค์​ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และทรงดำเนินในมรรคาแห่งราชบิดาของพระองค์ และในมรรคาแห่งพระมารดาของพระองค์ และในมรรคาของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัทผู้ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย พระองค์​ทรงปรนนิบั​ติ​พระบาอัลและนมัสการพระนั้น และทรงกระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่​งอ​ิสราเอลพิโรธด้วยทุกวิธี​ที่​ราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำแล้​วน​ั้น

1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึง เรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาตรัสสั่งว่า <<ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ>> ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์อันงาม ณ ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งปวงก็เผยพระวจนะถวายอยู่ และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเอา เหล็กทำเป็นเขาและพูดว่า <<พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนเขาทั้งหลายจะ ถูกทำลาย> >> และบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า <<ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะเพราะพระเจ้าจะ ทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา>> และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์ได้บอกท่านว่า <<ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูด สิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล>> แต่มีคายาห์ตอบว่า <<พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะต้องพูดอย่างนั้น และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า <<มีคายาห์ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป>> และท่านทูลตอบพระองค์ว่า <<ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมีชัยชนะ พระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา>> แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า <<เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระเจ้า>> และท่านก็ทูลว่า <<ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา อย่างแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระเจ้าตรัสว่า <คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้เขาต่างกลับยังเรือนของตนโดยสวัสดิภาพเถิด> >> พระราชาแห่งอิสราเอลจึงทูลเยโฮชาฟัทว่า <<ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านแล้วหรือว่า เขาจะไม่เผยสิ่งดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย แต่สิ่งร้ายต่างหาก>> และมีคายาห์ทูลว่า <<ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระบาทได้เห็นพระเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย และพระเจ้าตรัสว่า <ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับเพื่อเขาจะขึ้นไป และล้มลงที่ราโมทกิเลอาด> บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น แล้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้า เฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าทูลว่า <ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง> และพระเจ้าตรัสกับเขาว่า <จะทำอย่างไร> และเขาทูลว่า <ข้าพระองค์จะออกไปและจะ เป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะของเขาทุกคน> และพระองค์ตรัสว่า <เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปทำเถิด> เพราะฉะนั้น ดูเถิด พระเจ้าทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้เผย พระวจนะนี้ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงลั่นพระวาจาเป็นความร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท>> แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้เข้ามาใกล้ และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า <<พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า พูดกับเจ้าได้อย่างไร>> และมีคายาห์ตอบว่า <<ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า>> และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า <<จงจับมีคายาห์พาเขากลับไปมอบให้ อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และแก่โยอาชราชโอรส และว่า <พระราชาตรัสดังนี้ว่า <<เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารนักโทษกับน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะกลับมาโดยสวัสดิภาพ> >> และมีคายาห์ทูลว่า <<ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ พระเจ้าก็มิได้ตรัสโดยข้าพระบาท>> และท่านกล่าวว่า <<บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด>> พระราชาแห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า <<ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน>> และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ ทรงปลอมพระองค์เข้าทำสงคราม ฝ่ายพระราชาประเทศซีเรีย ทรงบัญชาแม่ทัพรถรบทั้งสามสิบสองคนว่า <<อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล>> และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า <<เป็นพระราชาอิสราเอลแน่แล้ว>> เขาจึงหันเข้าไปสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการ รถรบเห็นว่าไม่ใช่พระราชาอิสราเอล ก็หันรถกลับจากไล่ตามพระองค์ แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงเดาไป ถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า ระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า <<หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว>> วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็หนุนพระราชาไว้ในราชรถ ให้หันพระพักตร์เข้าสู่ชนซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองท้องรถรบ ประมาณดวงอาทิตย์ตกก็มีเสียงร้องทั่วกองทัพว่า <<ทุกคนจงกลับไปเมืองของตัว และทุกคนจงกลับไปภูมิลำเนาของตัว>> ครั้นพระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ นำมายังกรุงสะมาเรีย และฝังพระศพพระราชาไว้ในสะมาเรีย เขาล้างรถรบที่สระแห่งสะมาเรีย และสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ (ที่ที่หญิงแพศยาลงอาบน้ำ) ตามพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ตรัส ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาหับ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และพระราชวังงาช้างซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ และหัวเมืองทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้าง มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศอิสราเอลหรือ อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสยาห์ราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน เยโฮชาฟัทราชโอรสของอาสาเริ่มขึ้นครองเหนือยูดาห์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัทมีพระชนม์สามสิบห้าพรรษาเมื่อ ทรงเริ่มขึ้นครอง และพระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มยี่สิบห้าปี พระชนนีของพระองค์มีพระนามว่า อาซูบาห์ธิดาของชิลหิ พระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของอาสาราชบิดา ทุกประการ มิได้หันเหออกนอกไป ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ปูชนียสถานสูงนั้นยังมิได้รื้อลง ประชาชนยังถวายเครื่องสัตวบูชาและ เผาเครื่องหอมอยู่บนปูชนียสถานสูงนั้น เยโฮชาฟัททรงกระทำไมตรี กับพระราชาอิสราเอลด้วย ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮชาฟัท และยุทธพลังที่พระองค์ทรงสำแดง และสงครามที่พระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศยูดาห์หรือ และเทวทาสที่ยังเหลืออยู่คือ ผู้ที่ยังเหลือในสมัยของอาสาราชบิดานั้น พระองค์ก็ทรงกำจัดเสียจากแผ่นดิน ไม่มีพระราชาในประเทศเอโดม แต่มีผู้ว่าราชการปกครองแทน เยโฮชาฟัททรงต่อกำปั่นทารชิช เพื่อจะไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่กำปั่นนั้นไปไม่ถึง เพราะไปแตกเสียที่เอซีโอนเกเบอร์ แล้วอาหัสยาห์ราชโอรสของ อาหับตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า <<ขอให้ข้าราชการของข้าพเจ้า ไปในเรือกำปั่นกับข้าราชการของท่าน>> แต่เยโฮชาฟัทไม่พอพระทัย และเยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับ บรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษที่ในนคร ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์ อาหัสยาห์ราชโอรสของอาหับทรงเริ่มครองเหนือ อิสราเอลในสะมาเรีย ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ และพระองค์ทรงครอบครองเหนืออิสราเอลสองปี พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่ว ในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงดำเนินในมรรคาแห่งราชบิดาของพระองค์ และในมรรคาแห่งพระมารดาของพระองค์ และในมรรคาของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย พระองค์ทรงปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น และทรงกระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพิโรธ ด้วยทุกวิธีที่ราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำแล้วนั้น

1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาและสั่งว่า “จงนำตัวมีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเดี๋ยวนี้” ทั้งกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่บนพระที่นั่งในลานนวดข้าวใกล้ประตูเมืองสะมาเรีย ในขณะที่กลุ่มผู้เผยพระวจนะก็กล่าวพยากรณ์ไปต่อหน้า ฝ่ายเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้ทำเขาเหล็กขึ้นมาและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะขวิดพวกอารัมด้วยเขาเหล็กนี้จนพวกเขาย่อยยับไป’ ” ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังพยากรณ์อย่างเดียวกันว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท” คนที่ไปตามตัวมีคายาห์ได้กล่าวกับเขาว่า “ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ล้วนแต่ทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่ากษัตริย์จะชนะ ขอให้ท่านกล่าวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกับพวกเขา” แต่มีคายาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะพูดแต่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสฉันนั้น” เมื่อเขามาถึง กษัตริย์ตรัสถามว่า “มีคายาห์เอ๋ย เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?” มีคายาห์ทูลว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท” กษัตริย์ตรัสว่า “เราจะต้องให้เจ้าสาบานกี่ครั้งกี่หนว่าจะบอกแต่ความจริงแก่เราในพระนามพระยาห์เวห์?” มีคายาห์จึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้ทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเถิด’ ” กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น?” มีคายาห์กล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนเฝ้าอยู่รอบพระองค์ทั้งซ้ายและขวา แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?’ “มีผู้ทูลเสนอต่างๆ นานา ในที่สุดมีวิญญาณดวงหนึ่งก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะหลอกล่อเขา’ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามว่า ‘ทำอย่างไร?’ “วิญญาณนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ’ “พระองค์จึงตรัสว่า ‘เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงใส่วิญญาณมุสาในปากผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีประกาศิตให้ฝ่าพระบาทถึงแก่หายนะแล้ว” แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์และถามว่า “พระวิญญาณจากองค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?” มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้คำตอบในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นใน” กษัตริย์อิสราเอลจึงตรัสสั่งว่า “จงคุมตัวมีคายาห์กลับไปหาอาโมนผู้ว่าการของเมืองนี้และโยอาชบุตรของเรา บอกสองคนนั้นว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า จงขังชายผู้นี้ไว้ในคุก ให้แต่ขนมปังกับน้ำประทังชีวิตจนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’ ” มีคายาห์ประกาศว่า “หากฝ่าพระบาทกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านทางข้าพเจ้า” แล้วเขากล่าวอีกว่า “ทุกคนจงจำคำพูดของข้าพเจ้าไว้!” ดังนั้นกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวไปออกรบ ส่วนท่านแต่งเครื่องทรงกษัตริย์ของท่านเถิด” แล้วกษัตริย์อิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์และเสด็จออกรบ ฝ่ายกษัตริย์อารัมได้ทรงบัญชาผู้บัญชาการรถรบ 32 คนของพระองค์ว่า “อย่าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย แต่จงต่อสู้กับกษัตริย์อิสราเอลเพียงองค์เดียวเท่านั้น” เมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็คิดว่า “นี่เป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ๆ” จึงหันมาโจมตี แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องตะโกนออกมา ผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็เลิกไล่ล่าพระองค์ แต่มีคนหนึ่งยิงธนูสุ่มไปถูกกษัตริย์อิสราเอลตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ พระองค์จึงตรัสกับพลขับว่า “จงกลับรถพาเราออกจากสนามรบ เราบาดเจ็บแล้ว” สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน กษัตริย์ทรงประคองตัวไว้ในรถม้าศึกให้ประจันหน้ากับชาวอารัม พระโลหิตจากบาดแผลไหลนองพื้นรถ ครั้นตกเย็นก็สิ้นพระชนม์ ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับไป มีเสียงร้องบอกไปทั่วกองทัพว่า “ทุกคนกลับบ้านเมืองของตนเถิด!” ดังนั้นกษัตริย์อาหับก็สิ้นพระชนม์ และพระศพถูกนำกลับมาฝังไว้ที่สะมาเรีย เมื่อพวกเขาล้างรถม้าศึกที่สระในสะมาเรีย (ซึ่งพวกหญิงโสเภณีมาอาบน้ำ) สุนัขก็มาเลียพระโลหิตของกษัตริย์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้แล้ว เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลของอาหับ พระราชกิจทุกอย่าง พระราชวังที่ทรงสร้างและตกแต่งด้วยงาช้าง และเมืองต่างๆ ที่ทรงเสริมปราการ มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? อาหับทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน เยโฮชาฟัทโอรสของอาสาขึ้นครองราชย์ในยูดาห์ ตรงกับปีที่สี่ของรัชกาลกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุ 35 พรรษาเมื่อขึ้นครองราชย์ และทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มอยู่ 25 ปี ราชมารดาคืออาซูบาห์ธิดาของชิลหิ เยโฮชาฟัททรงดำเนินตามแบบอย่างของอาสาราชบิดาทุกประการโดยไม่หันเห ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้ทรงทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย ประชากรจึงยังคงถวายเครื่องบูชาและเผาเครื่องหอมที่นั่น เยโฮชาฟัทได้ทรงมีสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์อิสราเอลด้วย เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลเยโฮชาฟัท พระราชกิจและวีรกรรมในการสงครามมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? เยโฮชาฟัททรงกำจัดโสเภณีชายในเทวสถานซึ่งยังหลงเหลืออยู่จากสมัยของอาสาราชบิดาให้หมดไปจากแผ่นดิน ในสมัยนั้นเอโดมไม่มีกษัตริย์ปกครอง มีแต่ผู้สำเร็จราชการ เยโฮชาฟัททรงสร้างกองเรือพาณิชย์ เพื่อไปขนทองคำจากเมืองโอฟีร์ แต่เรือเหล่านั้นไม่ได้ไป เพราะอับปางลงที่เอซีโอนเกเบอร์ ครั้งนั้นอาหัสยาห์โอรสของอาหับกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้คนของเราแล่นเรือไปกับคนของท่าน” แต่เยโฮชาฟัททรงปฏิเสธ แล้วเยโฮชาฟัททรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ด้วยกันในเมืองดาวิด และเยโฮรัมโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน อาหัสยาห์โอรสของอาหับขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อิสราเอลในสะมาเรียตรงกับปีที่สิบเจ็ดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงปกครองอิสราเอลอยู่สองปี อาหัสยาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะทรงดำเนินตามวิถีทางของราชบิดากับราชมารดา และตามวิถีทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้ได้ชักนำอิสราเอลให้ทำบาป พระองค์ทรงปรนนิบัตินมัสการพระบาอัล และยั่วยุพระพิโรธของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลเหมือนที่ราชบิดาได้ทรงทำ

1 พงศ์กษัตริย์ 22:9-53 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

แล้ว​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ก็​เรียก​ขันที​คน​หนึ่ง​มา และ​สั่ง​ว่า “พา​มิคายาห์​บุตร​ของ​อิมลาห์​มา​โดย​ด่วน” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​และ​เยโฮชาฟัท​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ก็​กำลัง​นั่ง​บน​บัลลังก์ ทรง​เครื่อง​ด้วย​เสื้อ​คลุม​ของ​กษัตริย์ อยู่​ที่​ลาน​นวด​ข้าว ที่​ทาง​เข้า​ของ​ประตู​เมือง​สะมาเรีย และ​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ก็​กำลัง​เผย​ความ​ต่อ​หน้า​ท่าน​ทั้ง​สอง เศเดคียาห์​บุตร​เค-นาอะนาห์ ได้​ทำ​เขา​สัตว์​ด้วย​เหล็ก​กล้า​คู่​หนึ่ง เขา​พูด​ว่า “พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘เจ้า​จะ​โจมตี​ชาว​อารัม​จน​กระทั่ง​พวก​เขา​พินาศ​ไป​ด้วย​เขา​สัตว์​นี้’” และ​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​เห็น​ด้วย และ​พูด​ว่า “จง​ขึ้น​ไป​โจมตี​ราโมทกิเลอาด และ​ท่าน​จะ​ชนะ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​มอบ​เมือง​นั้น​ไว้​ใน​มือ​ของ​กษัตริย์” ผู้​ถือ​สาสน์​เป็น​คน​ที่​ไป​เรียก​มิคายาห์​ให้​มา และ​บอก​เขา​ว่า “ดู​เถิด บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​พูด​กัน​เป็น​เสียง​เดียว​ถึง​เรื่อง​ของ​กษัตริย์​ใน​ทาง​ที่​ดี​งาม” แต่​มิคายาห์​พูด​ว่า “ตราบ​ที่​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​มี​ชีวิต​อยู่​ฉันใด พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​บอก​ข้าพเจ้า​อย่าง​ไร ข้าพเจ้า​ก็​จะ​พูด​ไป​ตาม​นั้น” เมื่อ​เขา​มา​เข้า​เฝ้า​กษัตริย์ กษัตริย์​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “มิคายาห์ พวก​เรา​ควร​จะ​ไป​โจมตี​ราโมทกิเลอาด หรือ​ว่า​เรา​ควร​จะ​ยั้ง​ไว้​ก่อน” เขา​ตอบ​กษัตริย์​ว่า “ขึ้น​ไป​เถิด และ​ท่าน​จะ​ชนะ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​มอบ​เมือง​นั้น​ไว้​ใน​มือ​ของ​กษัตริย์” แต่​กษัตริย์​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “เรา​ควร​จะ​ให้​ท่าน​สาบาน​กี่​ครั้ง​ว่า ท่าน​พูด​แต่​ความ​จริง​กับ​เรา​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” มิคายาห์​จึง​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​เห็น​ทหาร​อิสราเอล​ทั้ง​ปวง​กระจัด​กระจาย​อยู่​บน​ภูเขา ประหนึ่ง​ฝูง​แกะ​ที่​ปราศจาก​ผู้​เลี้ยง​ดู และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘คน​เหล่า​นี้​ขาด​เจ้า​นาย ปล่อย​ให้​ทุก​คน​กลับ​บ้าน​ไป​ด้วย​ความ​ปลอดภัย​เถิด’” และ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​กล่าว​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​แล้ว​มิ​ใช่​หรือ​ว่า เขา​จะ​ไม่​ประกาศ​สิ่ง​ดี​ใดๆ ที่​พระ​เจ้า​เปิดเผย​ให้​ทราบ มี​แต่​เรื่อง​ร้าย” มิคายาห์​กล่าว​ว่า “ฉะนั้น​จง​ฟัง​คำ​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เถิด ข้าพเจ้า​เห็นพระ​ผู้​เป็น​เจ้า​สถิต​บน​บัลลังก์​ของ​พระ​องค์ และ​บรรดา​ชาว​สวรรค์​กำลัง​ยืน​อยู่​ข้าง​พระ​องค์ ทั้ง​ที่​เบื้อง​ขวา​และ​เบื้อง​ซ้าย และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘ใคร​จะ​หลอก​ล่อ​อาหับ​ให้​ไป​ยัง​ราโมทกิเลอาด เขา​จะ​ได้​จบ​ชีวิต​ลง​ที่​นั่น’ ทูต​สวรรค์​องค์​หนึ่ง​พูด​อย่าง​หนึ่ง และ​ทูต​สวรรค์​อีก​องค์​ก็​พูด​อีก​อย่าง ครั้น​แล้ว วิญญาณ​ดวง​หนึ่ง​ก็​มา​ยืน ณ เบื้อง​หน้า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​กล่าว​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​หลอก​ล่อ​อาหับ​เอง’ และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​กับ​วิญญาณ​ว่า ‘ด้วย​วิธี​ไหน’ วิญญาณ​ตอบ​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​ทำ​ให้​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ของ​อาหับ​พูด​เท็จ’ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘เจ้า​จะ​ไป​หลอก​ล่อ​เขา​ได้​สำเร็จ ไป​ทำ​ตาม​นั้น​เถิด’ ดังนั้น ดู​เถิด พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ทำ​ให้​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ของ​ท่าน​พูด​เท็จ เพราะ​ว่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​บอก​ล่วง​หน้า​ว่า​สิ่ง​เลว​ร้าย​จะ​เกิด​ขึ้น​กับ​ท่าน” แล้ว​เศเดคียาห์​บุตร​ของ​เค-นาอะนาห์​เข้า​มา​ใกล้ และ​ตบ​หน้า​มิคายาห์ และ​พูด​ว่า “พระ​วิญญาณ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จาก​เรา​ไป และ​ไป​พูด​กับ​เจ้า​ได้​อย่าง​ไร” มิคายาห์​พูด​ว่า “ดู​เถิด ท่าน​จะ​เห็น​ใน​วัน​นั้น เวลา​ที่​ท่าน​เข้า​ไป​ซ่อน​ตัว​ใน​ห้อง​ชั้น​ใน” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​กล่าว​ว่า “จง​จับ​ตัว​มิคายาห์​ไว้ และ​พา​ตัว​กลับ​ไป​ให้​อาโมน ผู้​ว่า​ราชการ​เมือง และ​โยอาช​บุตร​ของ​กษัตริย์ และ​บอก​ว่า ‘กษัตริย์​กล่าว​ดังนี้ “จำคุก​ชาย​คน​นี้​เสีย และ​ประทัง​ชีวิต​เขา​ด้วย​ขนมปัง​และ​น้ำ​เท่า​นั้น จน​กว่า​เรา​จะ​มา​อย่าง​ปลอดภัย”’” และ​มิคายาห์​พูด​ว่า “ถ้า​ท่าน​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ก็​ไม่​ได้​กล่าว​ผ่าน​ข้าพเจ้า” และ​พูด​ต่อ​อีก​ว่า “ขอ​ให้​ท่าน​ทุก​คน​ฟัง​ไว้​เถิด” ดังนั้น กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​และ​เยโฮชาฟัท​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ก็​ไป​โจมตี​เมือง​ราโมทกิเลอาด กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​กล่าว​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​จะ​ปลอม​ตัว​เข้า​ไป​ใน​สนาม​รบ ส่วน​ท่าน​ก็​สวม​เสื้อ​คลุม​ของ​กษัตริย์​ไป” ดังนั้น​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​จึง​ปลอม​ตัว​เข้า​ไป​ใน​สนาม​รบ ฝ่าย​กษัตริย์​แห่ง​อารัม​ได้​สั่ง​ผู้​บัญชา​การ​รถ​ศึก 32 คน​ว่า “ไม่​ต้อง​ต่อสู้​กับ​ผู้​ใด​เลย นอกจาก​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​เท่า​นั้น” เมื่อ​บรรดา​ผู้​บัญชา​การ​รถ​ศึก​เห็น​เยโฮชาฟัท ก็​พูด​ว่า “นั่น​ต้อง​เป็น​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​แน่” และ​พวก​เขา​จึง​หัน​ไป​โจมตี​ท่าน และ​เยโฮชาฟัท​ก็​ส่ง​เสียง​ร้อง ครั้น​ผู้​บัญชา​การ​รถ​ศึก​ทราบ​ว่า ท่าน​ไม่​ใช่​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล จึง​ได้​ถอย​กลับ และ​หยุด​ตาม​ไล่​ฆ่า​ท่าน แต่​ชาย​ผู้​หนึ่ง​สุ่ม​ยิง​ธนู​ออก​ไป ลูก​ธนู​เจาะ​ระหว่าง​เกราะ​ป้องกัน​ตัว​กับ​เกราะ​หุ้ม​หน้าอก​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล ดังนั้น​ท่าน​สั่ง​สารถี​ของ​ท่าน​ว่า “หัน​กลับ​ไป พา​เรา​ออก​จาก​สนาม​รบ เพราะ​เรา​บาด​เจ็บ” การ​สู้​รบ​ใน​วัน​นั้น​ก็​ดำเนิน​ต่อ​ไป และ​กษัตริย์​ถูก​พยุง​ตัว​ขึ้น​ใน​รถ​ศึก​โดย​หัน​หน้า​ไป​ทาง​ชาว​อารัม พอ​ตก​เย็น​ท่าน​ก็​เสีย​ชีวิต เลือด​จาก​บาดแผล​ไหล​ลง​บน​พื้น​รถ​ศึก ประมาณ​เวลา​ตะวัน​ตก​ดิน​ก็​มี​เสียง​ร้อง​ไป​ทั่ว​กอง​ทัพ​ว่า “ให้​ต่าง​คน​ต่าง​กลับ​ไป​เมือง​ของ​ตน และ​ให้​ต่าง​คน​ต่าง​กลับ​ไป​ประเทศ​ของ​ตน” ดังนั้น​กษัตริย์​สิ้น​ชีวิต และ​ถูก​นำ​ร่าง​ไป​ที่​สะมาเรีย และ​ศพ​ถูก​บรรจุ​ไว้​ใน​สะมาเรีย เขา​ล้าง​รถ​ศึก​ที่​ข้าง​สระ​น้ำ​ใน​สะมาเรีย มี​พวก​สุนัข​มา​เลีย​เลือด​ของ​ท่าน พวก​หญิง​โสเภณี​ก็​อาบ​น้ำ​ใน​สระ​นั้น ซึ่ง​เป็น​ไป​ตาม​คำ​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ที่​ได้​กล่าว​ไว้ กิจ​อื่นๆ ทั้ง​สิ้น​ของ​อาหับ และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ท่าน​กระทำ และ​วัง​ที่​ท่าน​สร้าง​ซึ่ง​ตกแต่ง​ด้วย​งา​ช้าง และ​ทุก​เมือง​ที่​ท่าน​สร้าง ก็​ได้​มี​บันทึก​ไว้​แล้ว​ใน​หนังสือ​แห่ง​พงศาวดาร​ของ​บรรดา​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​มิ​ใช่​หรือ อาหับ​จึง​สิ้น​ชีวิต​และ​ถูก​นำ​ไป​วาง​รวม​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​ท่าน และ​อาหัสยาห์​บุตร​ของ​ท่าน​ครอง​ราชย์​แทน​ท่าน เยโฮชาฟัท​บุตร​ของ​อาสา​เริ่ม​เป็น​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ใน​ปี​ที่​สี่​ของ​อาหับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล เยโฮชาฟัท​เริ่ม​เป็น​กษัตริย์​เมื่อ​มี​อายุ 35 ปี และ​ครอง​ราชย์​ใน​เยรูซาเล็ม 25 ปี มารดา​ของ​ท่าน​ชื่อ​อาซูบาห์​บุตร​หญิง​ของ​ชิลฮิ ท่าน​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​แบบ​อย่าง​อาสา​บิดา​ของ​ท่าน ท่าน​ไม่​ได้​หันเห​ไป​จาก​นั้น กระทำ​สิ่ง​ที่​ถูกต้อง​ใน​สายตา​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า แต่​สถาน​บูชา​บน​ภูเขา​สูง​ยัง​ไม่​ถูก​กำจัด​ไป และ​ประชาชน​ยัง​มอบ​เครื่อง​สักการะ​และ​เผา​เครื่อง​หอม​ที่​สถาน​บูชา​บน​ภูเขา​สูง เยโฮชาฟัท​ยอม​สงบ​ศึก​กับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ด้วย กิจ​อื่นๆ ทั้ง​สิ้น​ของ​เยโฮชาฟัท และ​ความ​สำเร็จ​ด้าน​ยุทธการ​ที่​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​ท่าน​สู้​รบ​อย่าง​ไร ก็​มี​เขียน​ไว้​แล้ว​ใน​หนังสือ​แห่ง​พงศาวดาร​ของ​บรรดา​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​มิ​ใช่​หรือ และ​ท่าน​กำจัด​พวก​โสเภณี​ชาย​ประจำ​วิหาร​ที่​หลง​เหลือ​อยู่​ตั้งแต่​สมัย​ของ​อาสา​บิดา​ของ​ท่าน ให้​หมด​สิ้น​ไป​จาก​แผ่นดิน ใน​แผ่นดิน​เอโดม​ไม่​มี​กษัตริย์ มี​เพียง​ผู้​สำเร็จ​ราชการ​ทำ​หน้าที่​แทน เยโฮชาฟัท​ต่อ​กอง​เรือ​เดิน​ทะเล​ของ​เมือง​ทาร์ชิช​หลาย​ลำ เพื่อ​ไป​บรรทุก​ทองคำ​จาก​โอฟีร์ แต่​ไป​ไม่​ถึง เพราะ​เรือ​แตก​ที่​เอซีโอนเกเบอร์ แล้ว​อาหัสยาห์​บุตร​ของ​อาหับ​พูด​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “ให้​คน​ของ​เรา​ออก​เรือ​ไป​กับ​คน​ของ​ท่าน​เถิด” แต่​เยโฮชาฟัท​ปฏิเสธ เยโฮชาฟัท​สิ้น​ชีวิต​และ​ถูก​นำ​ไป​วาง​รวม​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​ท่าน ศพ​ถูก​บรรจุ​ไว้​ใน​เมือง​ของ​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​ท่าน และ​เยโฮรัม​บุตร​ของ​ท่าน​ครอง​ราชย์​แทน​ท่าน อาหัสยาห์​บุตร​ของ​อาหับ​เริ่ม​เป็น​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ใน​สะมาเรีย ใน​ปี​ที่​สิบ​เจ็ด​ของ​เยโฮชาฟัท​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์ ท่าน​ครอง​ราชย์​ได้ 2 ปี​ใน​อิสราเอล ท่าน​กระทำ​สิ่ง​ที่​ชั่วร้าย​ใน​สายตา​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​แบบ​อย่าง​บิดา​ของ​ท่าน ตาม​อย่าง​มารดา​ของ​ท่าน และ​ตาม​อย่าง​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท​ผู้​เป็น​เหตุ​ให้​อิสราเอล​กระทำ​บาป ท่าน​บูชา​และ​นมัสการ​เทพเจ้า​บาอัล ซึ่ง​เป็น​การ​ยั่ว​โทสะ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า พระ​เจ้า​ของ​อิสราเอล ใน​ทุก​วิถี​ทาง​ที่​บิดา​ของ​ท่าน​ได้​ทำ