ปัญญาจารย์ 2:2-19
ปัญญาจารย์ 2:2-19 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
เราพูดกับการหัวเราะว่า “เจ้ามีผลงานอะไรอวดอ้างได้หรือ” และพูดว่า “เจ้าก่อให้เกิดประโยชน์อะไรได้หรือ” จิตใจเราได้สำรวจดูว่า มันจะเป็นยังไงที่จะให้เหล้าองุ่นควบคุมร่างกายเรา แต่สติปัญญายังนำจิตใจของเราอยู่และสามารถรู้ทันความโง่เขลา เราอยากรู้ว่าจะมีอะไรดีๆให้มนุษย์ทำบ้างในช่วงชีวิตอันแสนสั้นของเขาภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้ เราได้ทำงานต่างๆอันยิ่งใหญ่ ได้สร้างวังต่างๆสำหรับตัวเราเอง ได้ทำไร่องุ่น ได้ทำสวนผลไม้และสวนพักผ่อนต่างๆให้กับตัวเราเอง และได้ปลูกผลไม้ทุกชนิดไว้ในสวนพวกนั้น ได้สร้างบรรดาสระน้ำไว้เพื่อผันน้ำเข้าไปรดต้นไม้ที่ผลิดอกออกผล เรามีทาสชายหญิงมากมาย และมีทาสหลายคนที่เกิดภายในเรือนของเรา นอกจากนี้ เราก็ยังมีฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงวัวและฝูงแกะ มากกว่าใครๆที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มมาก่อนหน้าเราอีกด้วย เราได้รวบรวมเงินทองมาเป็นของรักของหวงอันเหมาะสมกับฐานะกษัตริย์ และรวบรวมหัวเมืองต่างๆมาเป็นของเราด้วย เราได้ให้ชายหญิงมาขับร้องเพลงให้ฟัง และเรายังมีทรัพย์สมบัติที่หรูหราฟู่ฟ่าที่มนุษย์ชื่นชอบเป็นหีบๆ หีบแล้วหีบเล่า เราได้เป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าใครๆทั้งหมดที่เคยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มก่อนหน้าเรา และสติปัญญาของเราก็ช่วยเรา ไม่ว่าดวงตาของเราอยากได้อะไร เราก็จะหามาให้ เราไม่เคยหักห้ามจิตใจของเราในเรื่องของความสุขใดๆ จิตใจของเราสนุกกับงานหนักที่ได้ทำไปนั้น และความสนุกนั่นแหล่ะเป็นรางวัลเดียวที่เราได้รับจากงานหนักซึ่งเราได้ทำไป แล้วเราก็หันมามองดูสิ่งทั้งหมดซึ่งเราได้ลงมือทำไป งานที่เราได้ลงมือลงแรงทำอย่างลำบากลำบนนั้น เราได้ค้นพบว่า มันไม่เที่ยง เหมือนกับไล่ตามลม ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่ให้ประโยชน์ถาวร แล้วเราก็หันมาดูเรื่องสติปัญญา ความบ้าๆบอๆและความโง่เขลา เพราะไม่รู้ว่าคนแบบไหนจะขึ้นมาครองราชย์ต่อจากเรา แล้วเขาจะมีปัญญาครอบครองทุกสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาได้หรือเปล่า และเราก็เห็นว่าสติปัญญานั้นได้เปรียบกว่าความโง่เขลา เช่นเดียวกับที่ความสว่างได้เปรียบกว่าความมืด คนฉลาดมีดวงตาอยู่ในหัว แต่คนโง่เดินอยู่ในความมืด แต่ตัวเราเองนั้นได้เรียนรู้ว่า ทั้งคนฉลาดและคนโง่ก็จะต้องเผชิญกับสิ่งเดียวกัน ดังนั้นเราจึงคิดในใจว่า เราเองจะต้องเผชิญกับสิ่งที่คนโง่ต้องเผชิญ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นคนฉลาดเลิศเลอไปทำไมกัน แล้วเราจึงคิดในใจว่า เรื่องนี้ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน เพราะทั้งคนฉลาดและคนโง่ ต่างก็ไม่อยู่ในความทรงจำของคนตลอดไปหรอก เพราะอีกไม่ช้า ทุกคนก็จะถูกลืมไปหมด มันแย่จริงๆที่คนฉลาดต้องตายเหมือนกันกับคนโง่ต้องตาย เพราะอย่างนี้เราถึงได้เกลียดชีวิต เรารู้สึกเจ็บปวดใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ทุกอย่างไม่เที่ยง และเป็นการวิ่งไล่ตามลม เราเกลียดผลจากงานหนักที่เราได้ตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ เพราะเราจะต้องทิ้งมันให้กับคนรุ่นหลัง แล้วใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าเขาจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ แต่ถึงยังไง เขาก็จะครอบครองทุกอย่างซึ่งเราได้ตรากตรำทำมาภายใต้ดวงอาทิตย์ ทุกสิ่งที่เราได้ลงมือทำไปอย่างชาญฉลาด เรื่องนี้ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน
ปัญญาจารย์ 2:2-19 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
ข้าพเจ้าพูดถึงการหัวเราะว่า “บ้าๆ บอๆ” และกล่าวถึงความสนุกสนานว่า “มีประโยชน์อะไร?” ข้าพเจ้าใคร่ครวญดูว่าจะทำอย่างไร กายจึงคึกคักด้วยเหล้าองุ่น แต่ใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญา พร้อมกับยึดความเขลาไว้ด้วย จนกระทั่งข้าพเจ้าเห็นได้ว่า มีสิ่งดีอะไรที่มนุษย์จะทำได้ภายใต้ท้องฟ้าตลอดชั่วอายุไม่กี่วันของเขา ข้าพเจ้ากระทำการใหญ่โต ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนหลายหลัง และทำสวนองุ่นหลายแปลง ข้าพเจ้าทำสวนผลไม้และสวนหย่อนใจหลายแห่ง ปลูกไม้ผลทุกชนิดไว้ในสวนเหล่านั้น ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้ และมีทาสเกิดขึ้นในบ้านของข้าพเจ้า นอกจากนั้นข้าพเจ้ามีฝูงโคฝูงแพะแกะมากกว่าทุกคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และสะสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควรคู่กับเมืองทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายหญิง และมีความสนุกสนานทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งชอบใจมนุษย์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่และยิ่งใหญ่กว่าทุกคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้ายังคงอยู่กับข้าพเจ้าด้วย ทุกสิ่งที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานทุกอย่าง เพราะใจข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินจากการตรากตรำทั้งหมดของข้าพเจ้า และนี่เป็นรางวัลจากการตรากตรำของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าหันมาดูทุกสิ่งที่มือข้าพเจ้าทำ และผลของการตรากตรำที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอ และความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์จะทำอะไรได้? นอกจากทำสิ่งที่เขาทำกันมานานแล้วนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา เหมือนความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด คนมีสติปัญญารู้ว่าจะเดินไปทางไหน แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า “เคราะห์ที่เกิดแก่คนเขลา ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน เพราะไม่มีใครจดจำถึงคนมีสติปัญญาและคนเขลาตลอดไป เพราะเมื่อถึงเวลาในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว โถ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสารพัดก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง ข้าพเจ้าเกลียดการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองการตรากตรำทุกอย่างของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและใช้สติปัญญาทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย
ปัญญาจารย์ 2:2-19 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
ข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับการหัวเราะว่า “บ้าๆบอๆ” และกล่าวถึงความสนุกสนานว่า “มีประโยชน์อะไร” ข้าพเจ้าครุ่นคิดในใจว่าจะทำอย่างไรกายจึงจะคึกคักด้วยเหล้าองุ่น และใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญา และจะยึดความเขลาไว้อย่างไร จนข้าพเจ้าจะเห็นได้ว่า อะไรจะดีสำหรับให้บุตรทั้งหลายของมนุษย์กระทำภายใต้ท้องฟ้าตลอดชีวิตของเขา ข้าพเจ้ากระทำการใหญ่โต ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนหลายหลัง และปลูกสวนองุ่นหลายแปลง ข้าพเจ้าทำสวนหย่อนใจและสวนผลไม้หลายแห่ง ปลูกต้นไม้มีผลทุกอย่างไว้ในสวนเหล่านั้น ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้ มีทาสเกิดขึ้นในบ้าน ข้าพเจ้ายังมีฝูงวัวฝูงแพะแกะเป็นสมบัติมากกว่าของบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และส่ำสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควรคู่กับเมืองทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายหญิงสำหรับตัว และเครื่องดนตรีทุกอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งชอบใจบุตรทั้งหลายของมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่เป็นโตและเพิ่มพูนมากกว่าบรรดาคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้ายังคงอยู่กับข้าพเจ้าด้วย สิ่งใดๆที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานใดๆ เพราะใจข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินในบรรดางานของข้าพเจ้า และนี่เป็นส่วนของข้าพเจ้าจากการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าหันมาดูบรรดาสิ่งที่มือข้าพเจ้ากระทำ และความเหน็ดเหนื่อยที่ข้าพเจ้าทุ่มเทลงไปและ ดูเถิด ทุกอย่างก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจ และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอและความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์จะทำอะไรได้บ้าง เขาก็กระทำสิ่งที่เขากระทำกันมานานแล้วนั้นได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาวิเศษกว่าความเขลา เหมือนความสว่างวิเศษกว่าความมืด คนมีสติปัญญามีตาอยู่ในสมอง แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังเห็นว่า เหตุการณ์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่เขาทั้งมวล ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า “เหตุการณ์อันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า” ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า เรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน เพราะตลอดไปไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญามากกว่าคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว แล้วคนมีสติปัญญาตายอย่างไร ก็เหมือนคนเขลา ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่เขาทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสารพัดก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจ เออ ข้าพเจ้าเกลียดการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองบรรดาการงานของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและที่ข้าพเจ้าใช้สติปัญญากระทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย
ปัญญาจารย์ 2:2-19 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
ข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับการหัวเราะว่า <<บ้าๆบอๆ>> และกล่าวถึงความสนุกสนานว่า <<มีประโยชน์อะไร>> ข้าพเจ้าคิดดูว่าจะทำอย่างไร กายจึงจะคึกคักด้วยเหล้าองุ่น และใจยังคงแนะนำข้าพเจ้า ด้วยสติปัญญาและจะยึดความเขลาไว้อย่างไร จนข้าพเจ้าจะเห็นได้ว่า อะไรจะดีสำหรับให้บรรดาบุตรของมนุษย์ กระทำภายใต้ท้องฟ้าตลอดชีวิตของเขา ข้าพเจ้ากระทำการใหญ่โต ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนหลายหลัง และทำสวนองุ่นหลายแปลง ข้าพเจ้าทำสวนผลไม้และสวนหย่อนใจหลายแห่ง ปลูกต้นไม้มีผลหลายอย่างไว้ในสวนเหล่านั้น ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้มีทาสเกิดขึ้นในบ้าน ข้าพเจ้ามีฝูงโคฝูงแพะแกะเป็น สมบัติมากกว่าของบรรดาคนที่อยู่ใน กรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และส่ำสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควร คู่กับเมืองทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายหญิงสำหรับตัวและเมียน้อย ซึ่งเป็นสิ่งชอบใจผู้ชาย ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่เป็นโตกว่า บรรดาคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้ายังคงอยู่กับข้าพเจ้าด้วย สิ่งใดๆที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานใดๆ เพราะใจข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินในบรรดางานของข้าพเจ้า และนี่เป็นรางวัลจากงานของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าหันมาดูบรรดาสิ่งที่มือข้าพเจ้ากระทำ และความเหน็ดเหนื่อยที่ข้าพเจ้าทุ่มเทลงไปและ ดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจัง คือกินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอ และความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์ จะทำอะไรได้บ้าง เขาก็กระทำสิ่งที่เขากระทำกันมานานแล้วนั้นได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาวิเศษกว่าความเขลา เหมือนความสว่างวิเศษกว่าความมืด คนมีสติปัญญามีตาอยู่ในสมอง แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังเห็นว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่เขาทั้งมวล ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า <<เคราะห์กรรมอันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็คงจะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า>> ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน เพราะไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญาเช่น เดียวกับคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว พุทโธ่ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่เขาทำกันภายใต้ ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสารพัดก็อนิจจังคือกินลมกินแล้ง ข้าพเจ้าเกลียดการงานทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้ แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคน มีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองบรรดาการงานของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและที่ข้าพเจ้าใช้สติ ปัญญากระทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย
ปัญญาจารย์ 2:2-19 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
ข้าพเจ้ากล่าวว่า “การหัวเราะก็โง่เขลา ความสนุกสนานเพลิดเพลินให้ประโยชน์อะไรบ้าง?” ข้าพเจ้าพยายามทำตัวให้เบิกบานด้วยเหล้าองุ่นและทำอะไรโง่ๆ แต่จิตใจก็ยังนำข้าพเจ้าไว้ด้วยสติปัญญา ข้าพเจ้าอยากจะดูว่าอะไรบ้างที่มีคุณค่าซึ่งมนุษย์ควรจะทำกันใต้ฟ้าสวรรค์ในชั่วอายุสั้นๆ ของตน ข้าพเจ้าดำเนินโครงการใหญ่ๆ คือ สร้างบ้านให้ตัวเองหลายหลัง ทำสวนองุ่นหลายแห่ง สร้างสวนหย่อนใจและปลูกผลไม้นานาชนิดในสวนเหล่านั้น ทำแหล่งเก็บน้ำ ส่งน้ำไปรดแมกไม้ที่กำลังงอกงาม ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงและมีทาสอื่นๆ อีกที่ถือกำเนิดในครัวเรือน ข้าพเจ้ามีฝูงสัตว์มากกว่าใครๆ ในเยรูซาเล็มซึ่งอยู่มาก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้สำหรับตัวเอง ทั้งยังได้รับเครื่องบรรณาการจากกษัตริย์และแว่นแคว้นต่างๆ ข้าพเจ้าจัดให้มีนักร้องชายหญิง และมีฮาเร็มอันเป็นสิ่งถูกใจผู้ชาย ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ ในเยรูซาเล็มก่อนหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีสติปัญญาอยู่กับตัวในทุกสิ่งเหล่านี้ ตาอยากดูอะไร ข้าพเจ้าก็ไม่ปฏิเสธตัวเอง ใจอยากสนุกอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่ห้าม ข้าพเจ้าชื่นชมผลงานทั้งปวงของตน และนี่เป็นรางวัลจากการลงทุนลงแรงของข้าพเจ้า ถึงกระนั้นเมื่อข้าพเจ้าสำรวจดูทุกสิ่งที่ทำไป และที่ตรากตรำเพื่อให้ได้มา ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม ไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมาภายใต้ดวงอาทิตย์ แล้วข้าพเจ้าจึงหันไปพิจารณาสติปัญญา กับความบ้าคลั่งและความโง่เขลา ผู้ครองราชย์ต่อจากกษัตริย์จะทำอะไรได้ นอกจากสิ่งที่เคยทำกันมาก่อนแล้ว? ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาดีกว่าความโฉดเขลา เฉกเช่นแสงสว่างย่อมดีกว่าความมืด คนฉลาดมีตาอยู่ในสมอง ขณะที่คนโฉดเขลาเดินไปในความมืด แต่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ว่า ชะตากรรมเดียวกันเกิดขึ้นแก่ทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า “ชะตากรรมที่เกิดกับคนโง่ก็จะเกิดกับเราด้วย ฉะนั้นเราฉลาดไปจะได้อะไรขึ้นมา?” ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า “นี่ก็อนิจจังเหมือนกัน” เพราะคนฉลาดก็เป็นเช่นเดียวกับคนโง่ เขาจะไม่อยู่ในความทรงจำเนิ่นนาน ในวันข้างหน้าก็ถูกลืมเลือนไปทั้งคู่ คนฉลาดก็ต้องตายเช่นเดียวกับคนโง่! ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะการงานที่ทำภายใต้ดวงอาทิตย์เป็นความโศกสลดแก่ข้าพเจ้าล้วนแต่อนิจจัง เหมือนวิ่งไล่ตามลม ข้าพเจ้าเกลียดชังสิ่งทั้งปวงที่ตนเองตรากตรำทำไปภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ให้คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า และใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะเป็นคนโง่หรือฉลาด? ถึงกระนั้นเขาก็จะได้ครอบครองผลงานทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายและความชำนาญลงไปภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วยเช่นกัน
ปัญญาจารย์ 2:2-19 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
ข้าพเจ้าเห็นว่า การหัวเราะเป็นเรื่องโง่เขลา และความสนุกสนานเล่า มันสร้างความสำเร็จอย่างใดบ้าง ข้าพเจ้าพยายามหาความสำราญใจให้แก่ตนเองด้วยเหล้าองุ่น และฉวยเอาความโง่เขลา ถึงกระนั้นสติปัญญาก็ยังเป็นฝ่ายนำในความคิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใคร่จะดูว่า เวลาอันสั้นในช่วงชีวิตมนุษย์นั้น มีอะไรดีๆ ที่พวกเขาจะกระทำในโลกได้บ้าง ข้าพเจ้ากระทำหลายสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าสร้างบ้านหลายหลัง และปลูกสวนองุ่นเอง ข้าพเจ้าปลูกสวนพืชและไร่ผลไม้นานาชนิด ข้าพเจ้าขุดบ่อไว้ใช้รดน้ำต้นไม้ที่กำลังงอกงามในสวน ข้าพเจ้าซื้อทาสทั้งชายและหญิง และทาสที่เกิดในบ้านของข้าพเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นอีกด้วย ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของฝูงโคและแพะแกะมากมาย มากกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนหน้าข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าสะสมเงินและทองคำจำนวนมหาศาล และสมบัติจากบรรดากษัตริย์และอาณาจักรไว้ด้วย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายและหญิง และภรรยาน้อยหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ชายนิยมชมชอบ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงยิ่งใหญ่และเหนือกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนหน้าข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้าก็อยู่กับข้าพเจ้าด้วย ไม่มีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าอยากได้ แล้วจะไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้ละเว้นจากสิ่งที่ให้ความสุขใจ ดังนั้นข้าพเจ้ายินดีกับการงานทุกอย่างที่ทำ และนี่คือรางวัลของข้าพเจ้าซึ่งได้มาจากการทำงานทั้งสิ้น ฉะนั้นข้าพเจ้านึกถึงทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติด้วยมือข้าพเจ้า และการงานที่ข้าพเจ้าลงแรงตรากตรำ ดูเถิด ทุกสิ่งช่างไร้ค่า และเป็นการไล่คว้าลม และไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ในโลกนี้ ข้าพเจ้าจึงนึกถึงเรื่องสติปัญญา ความขาดสติยั้งคิด และความโง่เขลา คนที่มาภายหลังกษัตริย์ในอดีตจะทำอะไรอีกได้ นอกจากจะทำสิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติกันมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าสติปัญญาดีกว่าความโง่เขลา เช่นเดียวกับความสว่างที่ดีกว่าความมืด ผู้มีสติปัญญาสามารถรู้เห็นวิถีทางของตน แต่คนโง่เขลาเดินในความมืด และข้าพเจ้าทราบว่าทุกคนต้องเผชิญสิ่งที่เหมือนๆ กัน ข้าพเจ้าจึงคิดในใจว่า “อะไรที่เกิดกับคนโง่เขลาก็จะเกิดกับเราด้วย แล้วเราจะมีสติปัญญาเช่นนี้ไปทำไม” ข้าพเจ้าจึงคิดในใจว่า “นั่นก็ไร้ค่าเช่นกัน” เพราะไม่ว่าจะเป็นคนเรืองปัญญา หรือเป็นคนโง่เขลาก็ตาม ไม่มีใครระลึกถึงพวกเขาได้นาน ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกคนจะถูกลืมในบั้นปลาย คนเรืองปัญญาและคนโง่เขลาก็ต้องตายเหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ เพราะทุกสิ่งไร้ค่า และเป็นการไล่คว้าลม ข้าพเจ้าเกลียดงานตรากตรำทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าได้กระทำในโลกนี้ เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้าต้องทิ้งทุกสิ่งไว้ให้แก่คนที่จะมาภายหลังข้าพเจ้า และใครจะทราบได้ว่า เขาจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือเป็นคนโง่เขลา แต่เขาก็ยังจะเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าลงแรงตรากตรำและใช้สติปัญญาของข้าพเจ้าในโลกนี้ นี่ก็ไร้ค่าเช่นกัน