มาระโก 4:21-41

มาระโก 4:21-41 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ตะเกียงมีไว้สำหรับตั้งใต้ถังหรือใต้เตียงนอนหรือ? ไม่ได้มีไว้สำหรับตั้งบนเชิงตะเกียงหรือ? เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ที่จะไม่ถูกนำออกมาเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ที่จะไม่ถูกแพร่งพราย ถ้าใครมีหู จงฟังเถิด” แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังให้ดี พวกท่านจะให้คนอื่นด้วยปริมาณเท่าใด พวกท่านก็จะได้รับด้วยปริมาณเท่ากัน และพวกท่านจะได้รับมากยิ่งขึ้น เพราะว่าใครมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้คนนั้นอีก แต่ใครไม่มี แม้สิ่งที่เขามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปจากเขา” พระองค์ตรัสว่า “แผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน กลางคืนเขาก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาไม่รู้ เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกงามโดยขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง เมื่อสุกแล้วเขาก็เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “แผ่นดินของพระเจ้า จะเปรียบเหมือนสิ่งใด? หรือจะแสดงด้วยอุปมาอย่างไร? ก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ตอนที่เพาะลงในดิน ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้” พระองค์กล่าวพระวจนะกับพวกเขาเป็นอุปมาหลายอย่าง เท่าที่พวกเขาจะสามารถฟังเข้าใจได้ นอกจากอุปมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรกับพวกเขาอีก แต่เมื่ออยู่ตามลำพัง พระองค์ทรงอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกสาวก เย็นวันนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งโน้นเถิด” เมื่อละจากประชาชนแล้ว พวกเขาจึงพาพระองค์ซึ่งประทับในเรือไป มีเรืออีกหลายลำตามไปด้วย และมีพายุใหญ่เกิดขึ้น คลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนน้ำจวนจะเต็มเรืออยู่แล้ว ส่วนพระองค์กำลังบรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ พวกสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะพินาศหรือ?” พระองค์จึงทรงลุกขึ้นห้ามลมและตรัสกับทะเลว่า “จงสงบเงียบ” แล้วลมก็สงบ พายุก็เงียบสนิท พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้ากลัว? พวกเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ?” พวกเขาก็เกรงกลัวอย่างยิ่ง และพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันหนอ? ขนาดลมกับทะเลยังเชื่อฟังท่าน?”

มาระโก 4:21-41 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

แล้ว​พระองค์​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “มี​ใคร​บ้าง​ที่​จุด​ตะเกียง​แล้ว​เอา​ไป​ไว้​ใต้​ถัง​หรือ​ใต้​เตียง เขา​จุด​ตะเกียง​เอา​ไว้​บน​เชิง​ตะเกียง​ไม่​ใช่​หรือ สิง​ใด​ที่​แอบ​ซ่อน​อยู่​จะ​ถูก​เปิดโปง และ​ความลับ​ทุก​อย่าง​จะ​ถูก​เปิดเผย​หมด ใคร​มี​หู​ก็​ฟัง​ไว้​ดีๆ” พระองค์​พูด​กับ​พวก​เขา​อีก​ว่า “คิด​ให้​ดีๆ​ใน​สิ่ง​ที่​คุณ​ได้​ฟัง ยิ่ง​ทำ​อย่างนี้​มาก​เท่าไร ก็​จะ​ยิ่ง​เข้าใจ​มาก​ขึ้น​เท่านั้น และ​จะ​ได้​มาก​กว่า​นั้น​เสีย​ด้วย​ซ้ำ คน​ที่​เข้าใจ​อยู่​แล้ว​ก็​จะ​เข้าใจ​มาก​ยิ่ง​ขึ้น ส่วน​คน​ที่​ไม่​เข้าใจ​แล้ว​ยัง​ไม่​สนใจ​ฟัง​อีก แม้​สิ่ง​ที่​เขาเข้า​ใจ​ก็​จะ​หาย​ไป​ด้วย” พระองค์​พูด​ต่อว่า “อาณาจักร​ของ​พระเจ้า​เปรียบ​เหมือน​กับ​ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​หว่าน​เมล็ด​พืช​ลง​ใน​ดิน ไม่ว่า​ชาย​คน​นั้น​จะ​หลับ​หรือ​ตื่น พืช​นั้น​ก็​แตก​หน่อ​และ​เจริญ​งอก​งาม​ขึ้น​เรื่อยๆ​ทุก​วัน​ทุก​คืน โดย​ที่​ชาย​คนนี้​ไม่​รู้​ว่า​มัน​งอก​ขึ้น​มา​ได้​ยังไง เพราะ​ดิน​เป็น​ตัว​ที่​ทำ​ให้​เมล็ด​พืช​นั้น​งอก​ขึ้น​เป็น​ลำต้น เริ่ม​จาก​ต้น​อ่อน​ก่อน​แล้ว​ต่อมา​ก็​เป็น​รวง และ​มี​เมล็ด​เต็ม​รวง เมื่อ​เมล็ด​สุก​เหลือง​อร่าม​ชาวนา​ก็​รีบ​เอา​เคียว​มา​เกี่ยว​พืช​ทันที เพราะ​ถึง​ฤดู​เก็บเกี่ยว​แล้ว” แล้ว​พระองค์​ก็​ถาม​ว่า “จะ​เปรียบเทียบ​อาณาจักร​ของ​พระเจ้า​เหมือน​กับ​อะไร​ดี เปรียบเทียบ​กับ​เรื่อง​อะไร​ให้​ฟัง​ดี เปรียบ​กับ​เมล็ด​มัสตาร์ด​ก็​แล้ว​กัน เมล็ด​ชนิดนี้​ตอน​ที่​ปลูก​ลง​ใน​ดิน​นั้น​มัน​เล็ก​มาก แต่​พอ​โต​ขึ้น​มา​กลาย​เป็น​ต้น​ที่​ใหญ่​ที่สุด​ใน​พวก​พืช​สวนครัว​ทั้งหมด และ​ได้​แผ่​กิ่งก้าน​สาขา​จน​นก​มา​ทำ​รัง​ใต้​ร่ม​ไม้​ได้” พระองค์​ใช้​เรื่อง​แบบนี้​อีก​หลาย​เรื่อง​สั่งสอน​ฝูงชน เกี่ยว​กับ​ถ้อยคำ​ของ​พระเจ้า​เท่า​ที่​พวก​เขา​จะ​รับ​ไหว พระองค์​เล่า​ทุก​เรื่อง​โดย​ใช้​เรื่อง​เปรียบเทียบ​หมด และ​เมื่อ​อยู่​กัน​ตาม​ลำพัง​กับ​ศิษย์​พระองค์​ก็​จะ​อธิบาย​ให้​พวก​เขา​เข้าใจ​ทุก​อย่าง ใน​เย็น​วัน​นั้น​พระองค์​บอก​กับ​พวก​ศิษย์​ว่า “ข้าม​ไป​ฝั่ง​โน้น​กัน​เถอะ” พวก​เขา​ก็​ทิ้ง​ฝูงชน​มา​ขึ้น​เรือ​ที่​พระเยซู​นั่ง​อยู่​ก่อน​แล้ว มี​เรือ​ลำ​อื่นๆ​ตาม​ไป​ด้วย มี​พายุ​ใหญ่​เกิด​ขึ้น ทำ​ให้​คลื่น​ซัด​น้ำ​เข้า​มา​จน​เกือบ​เต็ม​ลำ​เรือ แต่​พระเยซู​ยัง​นอน​หนุน​หมอน​หลับ​อยู่​ท้าย​เรือ พวก​ศิษย์​จึง​มา​ปลุก​พระองค์​และ​บอก​ว่า “อาจารย์ ไม่​ห่วง​กัน​บ้าง​เลย​หรือ พวก​เรา​กำลัง​จะ​จมน้ำ​ตาย​กัน​อยู่​แล้ว” พระองค์​จึง​ลุก​ขึ้น​สั่ง​ห้าม​ลม​และ​คลื่น​ว่า “เงียบ​สงบ​ซะ” และ​ทันใดนั้น​เอง ลม​ก็​หยุด​พัด​และ​คลื่น​ก็​สงบ​ลง แล้ว​พระองค์​พูด​กับ​พวก​เขา​ว่า “กลัว​อะไร​กัน ยัง​ไม่​ไว้​วางใจ​เรา​อีก​หรือ” แต่​พวก​เขา​กลับ​กลัว​มาก​และ​พูด​กัน​ว่า “คนนี้​เป็น​ใคร​กัน​นะ ขนาด​ลม​และ​คลื่น​ยัง​ฟัง​เขา​เลย”

มาระโก 4:21-41 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

แล​้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เขาเอาเทียนมาสำหรับตั้งไว้​ใต้​ถัง ใต้​เตียงนอนหรือ และมิ​ใช่​สำหรับตั้งไว้บนเชิงเทียนหรือ เพราะว่าไม่​มี​สิ​่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่​มี​สิ​่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย ถ้าใครมี​หู​ฟังได้ จงฟังเถิด” พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ท่านฟังให้​ดี ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ทั้งจะเพิ่มเติมให้​อี​กแก่​ผู้​ที่​ฟังแล้ว ด้วยว่าผู้ใดมี​อยู่​แล​้วจะเพิ่มเติมให้​ผู้​นั้​นอ​ีก แต่​ผู้​ใดไม่​มี แม้ว​่าซึ่งเขามี​อยู่​นั้นจะเอาไปเสียจากเขา” พระองค์​ตรั​สว​่า “อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน แล​้วกลางคื​นก​็นอนหลับและกลางวั​นก​็​ตื่นขึ้น ฝ่ายพื​ชน​ั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็​ไม่รู้ เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้​นก​่อน ภายหลั​งก​็​ออกรวง แล้วก็​มี​เมล็ดข้าวเต็มรวง ครั้นสุกแล้วเขาก็ไปเกี่ยวเก็​บท​ี​เดียว เพราะว่าถึงฤดู​เก​ี่ยวแล้ว” และพระองค์ตรั​สว​่า “อาณาจักรของพระเจ้าจะเปรียบเหมือนสิ่งใด หรือจะสำแดงด้วยคำเปรียบอย่างไร ก็​เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้​นก​็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่​วท​ั้งแผ่นดิน แต่​เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญใหญ่โตกว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่​งก​้านใหญ่​พอให้​นกในอากาศมาอาศัยอยู่ในร่​มน​ั้นได้” พระองค์​ได้​ตรั​สส​ั่งสอนพระวจนะให้​แก่​เขาเป็นคำอุปมาอย่างนั้นเป็นหลายประการ ตามที่​เขาจะสามารถฟังได้ และนอกจากคำอุปมา พระองค์​มิได้​ตรัสแก่เขาเลย แต่​เมื่อพวกเขาอยู่​ตามลำพัง พระองค์​จึงทรงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นแก่​เหล่​าสาวก เย็​นว​ันนั้นพระองค์​ได้​ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “​ให้​พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด” เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่​พระองค์​ประทั​บอย​ู่​นั้น และมีเรื​ออ​ื่นเล็กๆหลายลำไปกับพระองค์​ด้วย และพายุ​ใหญ่​ได้​บังเกิดขึ้น และคลื่​นก​็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือเต็มอยู่​แล้ว ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลั​บอย​ู่​ที่​ท้ายเรือ เหล่​าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “​อาจารย์​เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะพินาศอยู่​แล้ว ท่านไม่ทรงเป็นห่วงบ้างหรือ” พระองค์​จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและตรัสแก่ทะเลว่า “จงสงบเงียบซิ” แล​้วลมก็หยุ​ดม​ีความสงบเงียบทั่วไป พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า “ทำไมท่านกลัวอย่างนี้ ท่านยังไม่​มี​ความเชื่อหรือ” ฝ่ายเขาก็เกรงกลั​วน​ักหนาและพู​ดก​ันและกั​นว​่า “ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน”

มาระโก 4:21-41 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<เขาเอาตะเกียงมาสำหรับตั้งไว้ใต้ถัง ใต้เตียงนอนหรือ และมิใช่สำหรับตั้งไว้บนเชิงตะเกียงหรือ เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย ถ้าใครมีหู จงฟังเถิด>> พระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังให้ดี ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ทั้งจะทรงเพิ่มเติมให้อีก ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปเสียจากเขา>> พระองค์ตรัสว่า <<แผ่นดินของพระเจ้าอุปมาเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน แล้วกลางคืนก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น ฝ่ายพืชนั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง ครั้นสุกแล้วเขาก็ใช้คนไปเกี่ยวเก็บทีเดียว เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว>> พระองค์ตรัสอีกว่า <<แผ่นดินของพระเจ้า จะเปรียบเหมือนสิ่งใด หรือจะสำแดงด้วยคำอุปมาอย่างไร ก็อุปมาเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้น ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้>> พระองค์ได้ทรงกล่าวแก่เขาถึงข่าวนั้น เป็นคำอุปมาอย่างนั้นหลายประการ ตามที่เขาจะสามารถฟังและเข้าใจได้ และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสแก่เขาเลย แต่เมื่อฝูงคนไปแล้ว พระองค์จึงทรงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นแก่เหล่าสาวก เย็นวันนั้น พระองค์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า <<ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด>> เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นหลายลำไปด้วย และพายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้น และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือจวนจะเต็มอยู่แล้ว ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ>> พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลม และตรัสแก่ทะเลว่า <<จงสงบเงียบซิ>> แล้วลมก็หยุด คลื่นก็สงบเงียบทั่วไป พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า <<ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ>> ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนา และพูดกันและกันว่า <<ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน>>

มาระโก 4:21-41 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านไม่เอาตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือวางไว้ใต้เตียงใช่ไหม? ตรงกันข้าม ท่านย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงไม่ใช่หรือ? เพราะสิ่งที่ซ่อนเร้นจะถูกเปิดเผย สิ่งที่ปิดบังไว้จะถูกเปิดโปง ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” พระองค์ตรัสอีกว่า “จงพิจารณาสิ่งที่ท่านได้ยินอย่างถี่ถ้วน ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใดท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น และได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ที่เขามีอยู่ก็จะถูกริบเอาไปจากเขา” พระองค์ตรัสด้วยว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนคนหนึ่งหว่านเมล็ดพืชลงในดิน ทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าเขาหลับหรือตื่น เมล็ดพืชก็งอกและเติบโตขึ้นแม้เขาไม่รู้ว่ามันงอกขึ้นได้อย่างไร ดินทำให้มันงอกเป็นต้นอ่อนแล้วออกรวง จากนั้นมีเมล็ดข้าวเต็มรวง เมื่อข้าวสุกแล้ว เขาก็ใช้เคียวเกี่ยวเพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “พวกเราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี หรือจะยกอุปมาใดมาอธิบาย? อาณาจักรของพระเจ้านั้นก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดเมื่อเพาะลงในดิน แต่เมื่องอกขึ้นก็เป็นต้นใหญ่ที่สุดในสวน แผ่กิ่งก้านสาขาจนนกในอากาศมาพักอาศัยในร่มเงาได้” พระเยซูทรงยกคำอุปมาที่คล้ายกันนี้อีกหลายเรื่องมาตรัสกับพวกเขาเท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ พระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นคำอุปมาทั้งสิ้น แต่เมื่อพระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวกตามลำพังก็ทรงอธิบายทุกสิ่ง เย็นวันนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามไปอีกฟากหนึ่งเถิด” พวกเขาก็พาพระองค์ไปในเรือที่ประทับอยู่นั้น โดยละฝูงชนไว้ข้างหลังและมีเรืออื่นๆ หลายลำตามพระองค์ไปด้วย เกิดพายุร้าย คลื่นซัดท่วมจนเรือจวนจะจมแล้ว พระเยซูทรงหนุนหมอนบรรทมอยู่ท้ายเรือ เหล่าสาวกมาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงห่วงว่าเราจะจมน้ำตายหรือ?” พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่นว่า “เงียบ! จงสงบนิ่งเดี๋ยวนี้!” แล้วลมก็หยุดพัด ทุกอย่างก็สงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ทำไมจึงกลัวนัก? พวกท่านยังไม่มีความเชื่ออีกหรือ?” เหล่าสาวกแตกตื่นตกใจ ต่างถามกันว่า “พระองค์ทรงเป็นใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังพระองค์!”

มาระโก 4:21-41 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

พระ​องค์​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “ตะเกียง​ถูก​นำ​มา​เพื่อ​วาง​ไว้​ใต้​ภาชนะ​หรือ​ใต้​เตียง​อย่าง​นั้น​หรือ ตะเกียง​มี​ไว้​เพื่อ​วาง​บน​ขาตั้ง​ตะเกียง​มิ​ใช่​หรือ ไม่​มี​สิ่ง​ใด​ที่​ซ่อน​ไว้​แล้ว​จะ​ไม่​ปรากฏ​แจ้ง และ​ไม่​มี​สิ่ง​ใด​ที่​เร้นลับ​แล้ว​จะ​ไม่​ถูก​เปิดเผย​ใน​ที่​แจ้ง ถ้า​ผู้​ใด​มี​หู​ที่​จะ​ฟัง​ก็​จง​ฟัง​เถิด” และ​พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​อีก​ว่า “จง​เอาใจใส่​ต่อ​สิ่ง​ที่​ท่าน​ฟัง​ให้ดี ท่าน​ตวง​ให้​ไป​เท่าใด ท่าน​ก็​จะ​ได้รับ​เท่า​นั้น แล้ว​พระ​เจ้า​จะ​ให้​มาก​ขึ้น​ไป​อีก ใคร​ก็​ตาม​ที่​มี​อยู่​แล้ว ก็​จะ​ได้​รับ​มาก​ขึ้น และ​ใคร​ที่​ไม่​มี แม้แต่​สิ่ง​ที่​เขา​มี​อยู่ ก็​จะ​ถูก​ริบ​ไป​จาก​เขา” พระ​องค์​กล่าว​ว่า “อาณาจักร​ของ​พระ​เจ้า​อุปมา​เหมือน​คนหนึ่ง​ที่​หว่าน​เมล็ด​ลงบน​ดิน กลางคืน​เขา​ก็​นอน กลางวัน​ก็​ตื่น เมล็ด​นั้น​ก็​งอก​และ​เติบโต​ขึ้น เขา​เอง​ไม่​รู้​ว่า​เกิด​ขึ้น​ได้​อย่างไร ดิน​ทำ​ให้​เกิด​พืชผล งอกขึ้น​เป็น​ต้น​กล้า​ก่อน แล้ว​จึง​ออก​รวง ซึ่ง​ต่อ​มา​ก็​จะ​มี​เมล็ด​เต็ม​รวง เมื่อ​เมล็ด​สุก​เต็มที่ เขา​ก็​ใช้​เคียว​เกี่ยว​ทันที​เพราะ​ถึง​เวลา​เก็บ​เกี่ยว​แล้ว” และ​พระ​องค์​ได้​กล่าว​เพิ่มเติม​อีก​ว่า “พวก​เรา​จะ​เปรียบเทียบ​อาณาจักร​ของ​พระ​เจ้า​กับ​สิ่งใด​ดีหนอ หรือ​พวก​เรา​จะ​อุปมา​ได้​ใน​รูป​ไหน อาณาจักร​ของ​พระ​เจ้า​อุปมา​เหมือน​เมล็ด​พันธุ์​จิ๋ว​ที่​หว่าน​ลงบน​ดิน ซึ่ง​เป็น​ขนาด​เล็ก​ที่สุด​ใน​จำนวน​เมล็ดพืช​อื่นๆ ที่​อยู่​บน​ดิน ถึง​กระนั้น​ก็ตาม​เมื่อ​หว่าน​ลง​แล้ว ก็​จะ​เติบโต​ขึ้น​กลาย​เป็น​ต้น​ใหญ่​ที่สุด​ใน​บรรดา​พืช​สวน​ทั้ง​ปวง และ​ออก​กิ่งก้าน​ใหญ่ ให้​ฝูง​นก​สามารถ​พักพิง​อาศัย​ใต้​ร่ม​ได้” พระ​เยซู​ประกาศ​คำกล่าว​เป็น​อุปมา​ใน​ทำนอง​นั้น​หลาย​ประการ​ให้​พวก​เขา​ฟัง​เท่าที่​เขา​จะ​สามารถ​รับฟัง​ได้ พระ​องค์​ไม่​ได้​กล่าว​สิ่งใด​โดย​ไม่​ใช้​คำ​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง แต่​ยัง​ได้​อธิบาย​ทุก​สิ่ง​เป็นการ​ส่วนตัว​ให้​แก่​พวก​สาวก​ของ​พระ​องค์​เอง​ด้วย เมื่อถึง​เวลา​เย็น​วันนั้น พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “เรา​ข้ามไป​อีกฟาก​กัน​เถิด” พวก​สาวก​จึง​นำ​พระ​องค์​ไป​ทันที พระ​องค์​ก็​อยู่ใน​เรือ และ​ใน​ขณะที่​เรือ​ลำอื่นๆ ก็​แล่น​ออกไป​ด้วย​กัน ทิ้ง​ฝูง​ชน​ไว้​เบื้องหลัง พายุ​ใหญ่​เริ่ม​พัดมา คลื่น​ก็​โถม​ซัด​เข้าไป​ใน​เรือ จน​น้ำ​ปริ่ม​เรือ พระ​เยซู​หนุนหมอน​นอน​หลับ​อยู่ที่​ท้าย​เรือ พวก​เขา​ปลุก​พระ​องค์​ให้​ตื่นขึ้น​และ​บอก​ว่า “อาจารย์ ท่าน​ไม่​ห่วง​หรือ​ว่า​พวก​เรา​กำลัง​จะ​ตาย​อยู่แล้ว” พระ​องค์​ตื่นขึ้น​ห้าม​ลม​และ​สั่ง​ทะเล​ว่า “จง​สงบ​นิ่ง​เสีย” ลม​จึง​หยุด​พัด​และ​ทุก​สิ่ง​ก็​สงบ​เงียบ​ลง พระ​องค์​กล่าว​กับ​เขา​เหล่า​นั้น​ว่า “ทำไม​พวก​เจ้า​จึง​กลัว​นัก เจ้า​ยัง​ไม่​มี​ความ​เชื่อ​อีก​หรือ” พวก​สาวก​เกรงกลัว​นัก​จึง​ถาม​กัน​และ​กัน​ว่า “ท่าน​ผู้นี้​เป็น​ใคร​กัน​ที่​แม้แต่​ลม​และ​ทะเล​ก็ยัง​เชื่อฟัง​ท่าน”