พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2025ตัวอย่าง
จดหมายรักของคุณ
เป็นเรื่องน่าขอบพระคุณพระเจ้าในความสัมพันธ์ของผมกับพิพพา ที่ต้องแยกห่างจากกันเพียงไม่กี่ครั้ง อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะแต่งงาน มีช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่กับพิพพาถึง 3 สัปดาห์ ในสมัยนั้นไม่มีอีเมล หรือโทรศัพท์มือถือ วิธีเดียวที่เราจะสื่อสารกันได้คือการเขียนจดหมาย ผมเขียนจดหมายทุกวัน เธอเขียนจดหมายทุกวัน ผมจำได้ดีถึงความรู้สึกตื่นเต้น และดีใจอย่างมาก เมื่อเห็นลายมือบนซองจดหมาย และรู้ว่ามีจดหมายจากพิพพาอยู่ข้างใน ผมรีบรับจดหมายและออกไปหาที่เงียบสงบด้วยตัวเองเพื่ออ่านจดหมายอย่างตั้งใจ จริง ๆ แล้วตัวจดหมายไม่ได้มีค่าอะไร แต่ข้อความในจดหมายจากคนที่ผมรักต่างหากที่มีค่า พระคัมภีร์เป็นจดหมายรักจากพระเจ้าถึงคุณ สิ่งที่ทำให้พระคัมภีร์น่าตื่นเต้นมากไม่ใช่ ตัวหนังสือ แต่เป็นความจริงที่ว่าเราได้พบกับคนที่เรารัก พระคัมภีร์ทั้งเล่มเชื่อมโยงถึงพระเยซู เห็นได้ชัดว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวย้ำชัดเจนถึงพระเยซู อย่างไรก็ตามพระเยซูตรัสถึงพระ คริสตธรรมคัมภีร์ที่มีอยู่ในช่วงชีวิตของพระองค์ (นั่นคือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม) ‘พระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยาน*ให้กับเรา*’ (ยอห์น 5:39)สดุดี 22:22-31
ประกาศชัยชนะของพระเยซู
เพลงสดุดีนี้เริ่มต้นด้วยความสิ้นหวังและความทุกข์ทรมาน (ข้อ 1) กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในเชิงพยากรณ์จบลงด้วยเสียงร้องแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ‘พระองค์ได้ทรงกระทำการนั้น!’ (ข้อ 31) ‘เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียน ต่อความทุกข์ยากของผู้ทุกข์ใจ และมิได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา เมื่อเขาทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงฟัง’ (ข้อ 24)
ชัยชนะครั้งนี้จะทำให้ผู้คนทั่วโลกหันกลับมา ‘หาพระยาห์เวห์’ (ข้อ 27) ประชาชาติทั้งหมดจะกราบลงต่อหน้า พระองค์ (ข้อ 27ข) จะประกาศชัยชนะครั้งนี้ว่า ‘พวกเขาจะมาและประกาศการช่วยกู้ของพระองค์ต่อคนที่ยัง ไม่เกิดมา พระองค์ได้ทำ [สำเร็จแล้ว]’ (ข้อ 31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล; ยอห์น 19:30)
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูไม่เพียงนำมาซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความใกล้ชิดใน ครอบครัวอีกด้วย คำที่แปลว่า ‘พี่น้องของข้าพระองค์’ (ในสดุดี 22:22) เป็นคำที่ใกล้ชิดหมายถึงเพื่อนสนิท และมักแปลว่า ‘พี่น้อง’ หรือ ‘ญาติ’ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ผู้เขียนฮีบรูกล่าวถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซู (ฮีบรู 2:11–12) พระเยซูทรงประกาศแก่พวกเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางเราและทรงมองว่าเราเป็นพี่น้องของพระองค์ ซึ่งเป็นสมาชิกร่วมในครอบครัวของพระองค์ด้วย
ข้าแต่พระเจ้า ขอขอบพระคุณอย่างมาก ที่พระองค์ได้ทรงฟังเสียงร้องของข้าพระองค์เมื่อทูลขอความช่วยเหลือ (ข้อ 24) วันนี้เป็นอีกครั้งที่ข้าพระองค์อยากทูลขอความช่วยเหลือ
มาระโก 3:31-4:29
น้อมรับพระดำรัสของพระเยซู
พระเยซูมองว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ใกล้ชิดของพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราทุกคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เปรียบเหมือนพี่น้องหรือมารดา (3:31–35)
ในข้อนี้เราเห็นว่าความสัมพันธ์นี้ได้รับการหล่อหลอมผ่านพระวจนะของพระเจ้า ทั้งโดยการฟังพระวจนะ และโดยการนำไปใช้ในชีวิตจริง ‘คนใดที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า คนนั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดา ของเรา’ (ข้อ 35)
พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพลังของพระดำรัสของพระองค์เองซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้า คำสอนของพระองค์ส่วนมากมักเป็นเรื่องเล่า ทุกคนมักตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าข้อคิดดี ๆ ซึ่งมีความหมายของ ‘คำอุปมา’ สอดแทรกอยู่ภายใน ผู้คนมักจะง่วงนอนขณะฟังคำเทศนาที่เป็นแค่นามธรรม แต่ตื่นตัวกับเรื่องเล่าดี ๆ เรื่องราวมีพลังที่จะผ่านเข้ามาหาเราก่อนที่ระบบการป้องกันตัวของเราจะทำงาน
คำอุปมาเรื่องผู้หว่านแสดงให้เห็นพลังของคำพูดที่จะเปลี่ยนชีวิต ถ้าคุณ ‘ได้ยินพระวจนะ [และ] ยอมรับมัน’ (4:20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คุณจะเป็นเหมือน ‘พืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่ [บุคคล] ที่ได้ยินพระวจนะนั้น [และ] รับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง’ (ข้อ 20) คุณจะ ‘เก็บเกี่ยวผลที่เกินกว่าความฝันอันโหดร้าย [ของคุณ]’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เราเห็นอัลฟ่าครั้งแล้วครั้งเล่า ได้กล่าวถึงสิทธิอำนาจพิเศษในพระดำรัสของพระเยซูที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างสิ้นเชิง และทำให้พวกเขาเกิดผล มีการทวีคูณเมื่อผู้คนพาเพื่อนมาฟังพระดำรัสของพระเยซู
หากพระดำรัสของพระเยซูไม่มีผลใด ๆ ความผิดก็อยู่ที่ผู้ฟัง บางครั้งชีวิตของผมตื้นเขินจนพระดำรัสของ พระองค์ไม่หยั่งรากลึก (ข้อ 4–6) ในบางครั้งมีปัญหาในชีวิตหรือการต่อต้าน (‘ยากลำบากหรือการข่มเหง’ ข้อ 17) ทำให้ผมห่างจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเยซู ในบางครั้งก็ยังมี ‘ความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่าง ๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล’ (ข้อ 19)
พระดำรัสของพระเยซูมีอำนาจมากในความอ่อนแอ พระเยซูตรัสว่า ‘เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ที่จะไม่ถูกนำออกมาเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ที่จะไม่ถูกแพร่งพราย’ (4:22) เราไม่ได้หมายถึงการเก็บซ่อนหรือปกปิดในชีวิตของเรา การนำสิ่งเหล่านี้ออกมานั้นดีกว่ามาก เราอาจทำให้ผู้คนประทับใจด้วยความเข้มแข็งของเรา แต่เราเชื่อมต่อกับพวกเขาผ่านความอ่อนแอของเรา
พระเยซูทรงย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าถึงความสำคัญของพระดำรัสและการได้ยินพระดำรัสของพระองค์ ‘จงระวังสิ่งที่คุณฟังให้ดี พวกท่านจะวัด [สิ่งที่คิดและสิ่งที่รู้] ของคนอื่น [ด้วยความจริงที่คุณได้ยิน] จะเป็นการวัด [คุณธรรมและความรู้] ของตัวคุณ และอีกมากมาย [นอกจากนี้] จะมอบให้กับทุกคนที่ตั้งใจฟัง’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ยิ่งคุณลงทุนในการศึกษาและนำพระคำของพระเจ้ามาใช้ในชีวิตมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น จงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ โดยให้เวลากับพระดำรัสของพระเยซูแล้วคุณจะไม่เสียใจ
คำอุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่เติบโตแสดงให้เห็นว่าเมื่อพระวจนะของพระเยซูได้รับการปลูกฝังในชีวิตของคุณ คุณสามารถคาดหวังว่าจะเกิดผลเก็บเกี่ยวในภายหลัง คุณอาจต้องอดทนในขณะที่รอการเก็บเกี่ยว แต่คุณมั่นใจได้ว่า ถ้าคุณหว่านเมล็ดพันธุ์ต่อไป คุณจะได้รับมากกว่าที่คุณเคยหว่านไว้ การเก็บเกี่ยวจะมาถึง (ข้อ 29)
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ ที่จะไม่เพียงแต่ได้ยินพระดำรัสของพระองค์ แต่ขอให้ข้าพระองค์ได้เล่าให้คนอื่นได้ฟัง และได้เห็นฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตข้าพระองค์และคนรอบข้าง
อพยพ 23:1-24:18
เป็นผู้ปฏิบัติตามพันธสัญญาของพระเยซู
ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับประชาชนของพระองค์ถูกกำหนดโดยพันธสัญญา (ข้อตกลงระหว่างพระเจ้ากับ ประชาชน) บนภูเขาซีนาย ในพันธสัญญา พระเจ้าทรงผูกมัดพระองค์เองกับประชากรของพระองค์และขอให้ พวกเขาตอบสนองโดยถวายตัวให้กับพระองค์ พระองค์ทรงเรียกพวกเขาให้ดำเนินชีวิตที่ใกล้ชิดพระองค์ในความสัมพันธ์นี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นว่าพระเจ้าให้ความสำคัญเรื่องความยุติธรรมและความยากจนสูงเพียงใด (23:1–12) ในหลาย ๆ ส่วนของโลกแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนยากจนจะได้รับความยุติธรรม ผู้คนมักถูกจับเข้าคุกด้วยข้อ หาเท็จโดยมีการชดใช้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย กฎหมายบางระบบถูกครอบงำด้วยการรับสินบน หากเพียงแต่ ยึดข้อพระคำเหล่านี้ ‘ห้ามทำให้เสียความยุติธรรมที่คนจนควรได้รับในคดีของเขา...จงหลีกห่างจากการใส่ ความคนอื่น...ห้ามรับสินบน’ (ข้อ 6,8)
มันยากมากที่จะต่อต้านคนหมู่มาก และวัฒนธรรม แต่ มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะพูดว่า ‘นั่นเป็นวัฒนธรรม ทุกคนทำ อย่างนั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่น’ พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามทำชั่วตามอย่างคนหมู่มาก ห้ามเป็นพยานในคดีความโดยลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มาก’ (ข้อ 2)
พันธสัญญาในสมัยโบราณมักให้สัตยาบันโดยการกินอาหาร (‘ได้กินและดื่ม’ 24:11) พันธสัญญาถูกปิดผนึก โดยการหลั่งเลือด โมเสสเอาเลือดมาประพรมให้ประชาชนและกล่าวว่า ‘นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา’ (ข้อ 8)
ผู้เผยพระวจนะได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่า วันหนึ่งจะมีพันธสัญญาใหม่ที่ไม่ได้จารึกไว้บนแผ่นศิลา (ข้อ 12) แต่อยู่ในใจของเรา (ตัวอย่างเช่น เยเรมีย์ 31:31–34) พระเยซูทรงอธิบายให้สาวกฟังว่าพันธสัญญาใหม่นี้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยพระโลหิตของพระองค์ (มาระโก 14:24) คุณเฉลิมฉลองพันธสัญญาใหม่นี้ผ่านอาหาร ทุกครั้งที่คุณรับศีลมหาสนิทและได้ยินคำว่า ‘ถ้วยนี้..เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา’ (ลูกา 22:20; 1 โครินธ์ 11:25)
ภายใต้พันธสัญญานี้บาปทั้งหมดของคุณได้รับการอภัย (ฮีบรู 9:15) คุณมีสัมพันธภาพกับพระเยซูไปตลอดกาล (13:20)
โดยทางพระเยซูคุณเป็นผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่ (2 โครินธ์ 3:6) ตามพันธสัญญาเดิม ‘มาด้วยรัศมี’ (ข้อ 7) ‘พระรัศมีของพระยาห์เวห์มาอยู่บนภูเขาซีนาย...เหมือนเปลวไฟที่ไหม้อยู่’ (อพยพ 24:16–17) อัครทูตเปาโลเขียนว่า ‘การปรนนิบัติตามพระวิญญาณก็จะมีรัศมียิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ? แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป’ (2 โครินธ์ 3:8,18)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์เมื่อใดที่ข้าพระองค์อ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ข้าพระองค์ได้เผชิญหน้ากับพระเยซู พระเจ้าโปรดช่วยข้าพระองค์ทุกวันขณะที่ข้าพระองค์จะฟังพระคำของ พระองค์และพบพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเติบโตในความรักความสัมพันธ์และเพื่อชีวิตของข้าพระองค์จะ สะท้อนพระสิริของพระองค์
Pippa Adds
มาระโก 3:31–35
ในความคิดแรกฉันพบว่าข้อพระธรรมนี้เป็นเรื่องยาก ราวกับว่าพระเยซูกำลังละทิ้งครอบครัวที่แท้จริงของพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์พูดจริง ๆ คือทุกคนที่เชื่อ เป็นครอบครัวเดียวกับพระองค์ แม่และพี่น้องของพระองค์เชื่อในพระองค์ และติดตามพระองค์จนถึงที่สุด
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)เกี่ยวกับแผนฯ
พระคัมภีร์ในหนึ่งปี เป็นแผนประจำวันซึ่งจะนำคุณอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มในเวลาเพียงหนึ่งปี สำหรับใครก็ตามที่มองหาวิธีอ่านพระคัมภีร์แบบง่าย ๆ และมีแบบแผน แต่ละวันจะมีการสำรวจหัวข้อที่แตกต่างกันผ่านข้อพระคัมภีร์ที่คัดสรรมาจากพระธรรมสดุดีหรือสุภาษิต ตลอดจนพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม พร้อมด้วยคำอธิบายประจำวันจากนิคกี้ และพิพพา กัมเบล เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ได้จริง
More
เราขอขอบคุณ Alpha International สำหรับการจัดทำแผนนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม bible.alpha.org/th