พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2025ตัวอย่าง
จะดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องได้อย่างไร
พิพพา และผมชอบไปเดินเล่นกันมาก เมื่อไม่นานมานี้เราไปเดินเล่นที่เซาท์ดาวน์ค่อนข้างนานเลยทีเดียว เราทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ทิศทางและลืมที่จะใช้แผนที่ ด้วยเหตุนี้เราจึงเดินออกนอกเส้นทาง และไปลงเอยที่ฟาร์มของใครบางคน มันเป็นอีกหนึ่งวันที่สั้นที่สุดของปี ไม่นานดวงตะวันก็เริ่มลับขอบฟ้า ดูเหมือนว่าวิธีเดียวที่จะกลับไปลานจอดรถได้ คือต้องข้ามทุ่งหญ้าที่มีวัวฝูงใหญ่มากมายอยู่โดยรอบ ขณะที่เรากำลังมุ่งไปหาฝูงวัวเหล่านั้น จู่ ๆ เราก็ค่อย ๆ ถูกล้อมด้วยวัวบางตัวที่ดูท่าทางเป็นมิตรมากเกินไป เราโดนปิดกั้นทางเดิน ในขณะที่ตัวอื่น ๆ พากันตกใจและเริ่มยืนตั้งท่ารอบ ๆ ทุ่งหญ้านี้ พวกเราเกรงว่าจะถูกวัวเหล่านี้พุ่งเข้าใส่ด้วยความกลัว จึงจำเป็นต้องรีบเดินออกมาจากอีกฝากหนึ่งที่ทั้งสูงชันและลื่นมาก ๆ พิพพาเดินได้เกินระยะที่เธอต้องการแล้ว และความมืดกำลังคลืบคลานเข้ามา ดูเหมือนว่าเราจะไม่อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง สิ่งต่าง ๆ ดูไม่ดีเอาเสียเลย ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดเราเจอเส้นทางที่นำเรากลับมาได้ มันช่างโล่งใจเหลือเกิน ในการเดินเล่นครั้งต่อ ๆ ไปเราจึงตัดสินใจว่าจะใช้แผนที่ และยึดตามเส้นทางหลักอย่างแน่นอน การอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีมาก เพื่อที่เราจะไม่ต้องกังวล เพื่อการสนทนาและเพื่อความสัมพันธ์ของเรา! ในพระคัมภีร์มักใช้ภาพของทางของพระเจ้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ชีวิตสดุดี 17:1-5
มุ่งมั่นที่จะอยู่ในทางของพระเจ้า
ดาวิดกล่าวว่า 'ย่างเท้าของข้าพระองค์ได้ยึดมั่นอยู่บนวิถีของพระองค์ (ไปยังเส้นทางของผู้ที่ทรงเคยไปมาก่อน)’ (ข้อ 5ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) คำว่า เส้นทาง (paths) ในภาษาฮีบรูจริง ๆ แล้วหมายถึง ‘ล้อ’ ดาวิดตั้งใจแน่วแน่ที่จะอยู่บนวิถีทางของพระเจ้า และเพื่อที่จะอยู่บนเส้นทางของพระองค์คุณต้องสำรวจสิ่งเหล่านี้:
1.\tหัวใจของคุณ (สิ่งที่คุณนึกคิด)
‘เมื่อพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์และเสด็จเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ในเวลากลางคืน เมื่อทรงทดสอบข้าพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทรงพบความอธรรมในข้าพระองค์เลย’ (ข้อ 3 ก)
2. คำพูดของคุณ (สิ่งที่คุณพูด)
‘ปากของข้าพระองค์ก็มิได้ละเมิด’ (ข้อ 3ค)
3. เท้าของคุณ (สถานที่ที่คุณไป)
‘เท้าของข้าพระองค์มิได้พลาด’ (ข้อ 5ข)
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เดินในทางของพระองค์ ขอให้เท้าของข้าพระองค์ไม่พลาดไป ขอปกป้องข้าพระองค์จากความคิดชั่วร้ายทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วยข้าพระองค์ให้ไม่ละเมิดสิ่งใด ๆ ผ่านทางคำพูดและการกระทำ
มัทธิว 19:1-15
ให้ความสัมพันธ์ของคุณอยู่ในทางของพระเจ้า
คำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับความสัมพันธ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของคุณเองและต่อสังคม เนื้อหาในวันนี้พระองค์ทรงกำหนดเส้นทางของพระเจ้าสำหรับชีวิตครอบครัว
1. ความสำคัญของการแต่งงาน
พวกฟาริสีถามพระเยซูเกี่ยวกับการหย่าร้าง แต่พระองค์ทรงตอบโดยใช้เรื่องของการแต่งงาน โดยย้อนกลับไปที่การทรงสร้างของพระเจ้า พระเยซูอ้างถึงพระคำจากปฐมกาล 2:24 โดยกล่าวว่า ‘เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’ (มัทธิว 19:5) พระคำตอนนี้จากปฐมกาลถูกยกให้เป็นเป็นข้อพระคัมภีร์แม่แบบสำหรับชีวิตสมรส ไม่เพียงแต่ในพันธสัญญาเดิมและโดยเปาโล (เอเฟซัส 5:31) แต่ยังรวมถึงพระเยซูเองด้วย
การแต่งงานคือการก้าวออกจากการเป็นคนของสาธารณะ คือการให้คำมั่นสัญญากับคู่ของคุณไปตลอดชีวิต ซึ่งมีสำคัญเหนือกว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่ด้วยซ้ำ รวมถึงการ ‘ผูกพัน’ ตัวกับคู่ของตน คำว่า ‘ติดแน่น’ (glued) ในภาษาฮีบรูแท้จริงแล้วหมายถึงร่วมกัน ไม่ใช่แค่ทางร่างกายและทางชีวภาพ แต่เป็นทางด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ นี่คือบริบทของคริสเตียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ‘เป็นเนื้อเดียว’ หลักคำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการแต่งงาน เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและเป็นบวกที่สุดเท่าที่เคยมีอยู่ ทั้งยังเป็นภาพที่สุดแสนจะงดงาม ที่ถูกกำหนดไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วโดยองค์พระเจ้า
2. กฏแห่งการหย่าร้าง
พวกฟาริสียังคงมีคำถามเกี่ยวกับการหย่าร้าง พวกเขาพูดถึงคำสั่งของโมเสส (มัทธิว 19:7) พระเยซูทรงตอบโดยตรัสว่าโมเสสอนุญาตให้ทำเช่นนั้น ‘เพราะใจของท่านแข็งกระด้าง’ (ข้อ 8) และเพื่อตอกกลับไปถึงพวกผู้ชายที่ (ในสังคมที่ผู้หญิงมีสิทธิน้อยกว่ามาก) ตั้งใจใช้บทบัญญัติของธรรมบัญญัตินี้เพื่อเดินออกจากภรรยาของตน (ข้อ 9)
บทบัญญัติเกี่ยวกับการหย่าร้างของโมเสสทำให้เรานึกถึงพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าในสถานการณ์ที่เรากำลังหลงลืมน้ำพระทัยของพระองค์ไป แต่พระเยซูกำลังบอกว่าการหย่าร้างไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
หลายคนที่เผชิญกับความเจ็บปวดจากชีวิตคู่ที่พังทลายจะพรรณาเช่นเดียวกับโยบเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของเขาในข้อพระคัมภีร์เดิมในวันนี้ เราจำเป็นต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องชีวิตคู่ (ของเราและของคนอื่น ๆ ผมสนับสนุนให้ทุกคู่ในคริสตจักรของเราเข้าร่วมหลักสูตรคู่สมรส) และเพื่อปลอบโยนผู้ที่ผ่านการหย่าร้างมา (ไม่ใช่ด้วยการตำหนิเช่นเอลีฟัส)
3. ถูกเรียกให้เป็นโสด
พระเยซูตรัสถึงความเป็นโสดสามประเภท ประเภทแรกคือบางคน ‘เป็นขันทีตั้งแต่เกิด’ (ข้อ 12ก) และ ‘ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลย’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ประเภทที่สองคือมีความเป็นโสดโดยไม่สมัครใจ (ข้อ12ค) ผู้ที่ ‘ไม่เคยถูกถาม หรือยอมรับ’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ประเภทที่สามคือมีความเป็นโสดโดยสมัครใจ คือผู้ที่ ‘คนที่ทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่แผ่นดินสวรรค์’ (ข้อ 12ค , พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความเป็นโสดอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรือถาวร แต่ในพันธสัญญาใหม่ไม่เคยถือว่าเป็นสิ่งดีที่สุดรองลงมา ทั้งการแต่งงานและการเป็นโสดเป็นการทรงเรียกที่สูงส่งและตามพันธสัญญาใหม่มีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับทั้งคู่
4. ความสำคัญของเด็ก ๆ
พระวจนะของพระเยซูท้าทายทัศนคติของคนยุคนั้นที่มีต่อเด็ก ๆ ในสังคมโบราณเด็กเล็ก ๆ มักจะถูกควบคุมตัวอยู่รอบนอกของสังคม ในคำสอนโบราณของอังกฤษบอกว่าพวกเขาจะต้อง ‘ถูกมองเห็น แต่ไม่ได้ยิน’
แต่วิถีของพระเจ้านั้นแตกต่างออกไป พระเยซูวางมือบนเด็กเล็ก ๆ และอธิษฐานเพื่อพวกเขา (ข้อ 13 ก) เมื่อเหล่าสาวกรู้สึกว่าเด็กเหล่านั้นไม่ควรเข้าไปรบกวนพระองค์ พระเยซูจึงตรัสว่า ‘จงยอมให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาเฝ้าเรา อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น’ (ข้อ 14) พระองค์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเด็ก ๆ ที่ควรมีในชีวิตของเรา
ในฐานะพ่อแม่ เป็นเรื่องสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับลูกๆ และอย่ามองว่าพวกเขาทำให้เราเสียสมาธิจากงานหรืองานรับใช้ ในฐานะคริสตจักรเราต้องให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนในด้านทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของพวกเขาเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นอนาคตของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรเราด้วย
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวและในสังคม ไม่ให้เดินออกนอกทางของพระองค์เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ขอพระพรมาสู่ทุกคนที่ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเสริมสร้างชีวิตครอบครัว
โยบ 4:1-7-21
ช่วยผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า
ผมรู้สึกซาบซึ้งในเพื่อนๆของผมที่คอยช่วยเหลือให้ผมดำเนินชีวิตให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามความเข้าใจแบบผิดๆบางทีก็เกิดขึ้นได้กับเพื่อนๆของเรา ในข้อพระคำนี้เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างโยบที่ช่วยให้ผู้อื่นอยู่ในทางของพระเจ้า (4:3–4) กับเอลีฟัสที่ ‘ไม่ได้ช่วยอะไร’ โยบเลย (6:21)
บางครั้งมีคนถามว่า ‘ทุกคำในพระคัมภีร์เป็นความจริงหรือไม่?’ ผมตอบว่า 'ใช่ แต่ก็เหมือนกับหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่ต้องตีความ' กฎข้อหนึ่งของการตีความคือเราต้องตีความตามบริบทของมัน
เราต้องอ่านถ้อยคำของเอลีฟัสในแง่ของความจริงที่ว่าในท้ายที่สุดพระเจ้าตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า ‘เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด’ (42:7) เพราะถ้อยคของเพื่อนโยบที่เราอ่านนี้ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด พวกเขาให้คำตอบที่ผิวเผินเกินไปสำหรับปัญหาความทุกข์ยาก รวมถึงการวินิจฉัยของพวกเขามักจะขาดประสบการณ์ เคร่งหลักการและไม่สมจริง
ในทางกลับกัน โยบอยู่กับความเป็นจริงและสัตย์ซื่อ ในขณะที่เขาต่อสู้กับความเจ็บปวด นอนไม่หลับทุกคืน เศร้าโศกและทุกข์ทรมาน ความทุกข์ทรมานของเขาไม่ได้เป็นผลมาจากความบาปของเขาเองอย่างที่เอลีฟัสและเพื่อนของเขาตำหนิ โยบถามอย่างถูกต้องว่า ‘ขอทำให้ข้าเข้าใจว่าข้าผิดตรงไหน’ (6:24) พระวิญญาณของพระเจ้าจะฟ้องบาปผิดของเราเองในขณะที่เอลีฟัซและเพื่อนของเขาพูดกับโยบว่า ‘คุณต้องทำอะไรผิดถึงจะต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้’ คนที่มีความทุกข์ไม่จำเป็นต้องเกิดความทุกข์เพราะบาปของตัวเอง แต่ถ้าเรามีบาปใด ๆ พระเจ้าจะทรงสำแดงบาปเฉพาะให้เราเห็นอย่างเฉพาะเจาะจงเอง
เอลีฟัสและเพื่อนของเขาให้คำแนะนำที่ผสมผสานกันระหว่างความจริงและความเท็จ ในคำพูดของพวกเขาจำเป็นต้องตีความเช่นนั้น สิ่งหนึ่งที่เอลีฟัสกล่าวเป็นความจริงคือโยบเป็นผู้ที่คอยช่วยให้ผู้คนอยู่ในทางของพระเจ้าเสมอ ‘ดูเถิด ท่านได้สั่งสอนคนจำนวนมาก และท่านได้ทำให้มือที่อ่อนแรงมีกำลังถ้อยคำของท่านหนุนใจคนที่กำลังสะดุด และท่านได้ทำให้เข่าที่อ่อนล้านั้นมั่นคง’ (4:3–4)
หน้าที่ของคุณไม่ใช่แค่ดำเนินชีวิตตามเส้นทางโดยลำพัง คุณต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการกระทำและคำพูดเช่นเดียวกับโยบ
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานเพื่อนที่คอยช่วยให้ข้าพระองค์ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เป็นคนคอยปลอบใจผู้ที่มีความทุกข์ ช่วยหนุนใจผู้ที่สะดุดและเสริมสร้างผู้ที่อ่อนกำลัง โปรดช่วยให้เราทุกคนช่วยเหลือกันและกันให้ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ต่อไป
Pippa Adds
สดุดี 17:1–5
ฉันประทับใจผู้ประพันธ์พระธรรมสดุดีที่กล่าวว่า ‘...ปากของข้าพระองค์ก็มิได้ละเมิด’ (17:3ค) มันหมายถึงการระมัดระวังทุกคำพูดของคุณทุกขณะหรือแม้แต่ช่วงเวลาที่คุณ ‘เว้นว่างจากการงาน’ ก็สำคัญมากจริง ๆ
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)ข้อพระคัมภีร์
เกี่ยวกับแผนฯ
พระคัมภีร์ในหนึ่งปี เป็นแผนประจำวันซึ่งจะนำคุณอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มในเวลาเพียงหนึ่งปี สำหรับใครก็ตามที่มองหาวิธีอ่านพระคัมภีร์แบบง่าย ๆ และมีแบบแผน แต่ละวันจะมีการสำรวจหัวข้อที่แตกต่างกันผ่านข้อพระคัมภีร์ที่คัดสรรมาจากพระธรรมสดุดีหรือสุภาษิต ตลอดจนพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม พร้อมด้วยคำอธิบายประจำวันจากนิคกี้ และพิพพา กัมเบล เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ได้จริง
More
เราขอขอบคุณ Alpha International สำหรับการจัดทำแผนนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม bible.alpha.org/th